วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร


พระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร
เจ้าภาพถามลองภูมิต่อไปอีกว่า พระอรหันต์นั้นมีลักษณะอย่างไร พบพระสงฆ์จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือไม่
สมเด็จตอบว่า พระอรหันต์ มีลักษณะ ๔ อย่าง คือ
๑.ไม่หนี ใครมาฆ่า ก็ไม่หนี เช่นพระโมคคัลลานะ
๒.ไม่สู้ ใครมาตี ก็ไม่สู้ เช่นพระอุบลวรรณา
๓.ไม่อยู่ ใครมารั้งไว้ ก็ไม่อยู่ เช่นพระยส
๔.ไม่ไป ใครมาไล่ขับ ท่านก็ไม่ไป เช่นพระพุทธเจ้า
สมเด็จโต ไม่ใช่พระอรหันต์ดอกจ้ะ เพราะเขารั้งให้เป็นสมภารวัดระฆัง ก็ยังอยู่มาแก่เรื่องนี้โบราณท่านทราบมานานนับพันปีแล้วว่า พระอรหันต์มีลักษณะ ๔ อย่าง
๑.อกัมมยตา ไม่สู้
๒.อคัมมยตา ไม่หนี
๓.อตัมมยตา ไม่อยู่ ไม่มาเกิดอีกในโลกนี้
๔.อมัมมยตา ไม่ตาย เมื่อไม่ตายก็ไม่เกิด
“ถ้าเช่นนั้นพระอรหันต์ก็ตายสูญใช่หรือไม่...”
“ไม่ตายสูญดอก  ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้สูญหายไปเลย พระอรหันต์ท่านอยู่ในพระนิพพาน ที่เรียกว่าโลกุตตรภูมิ ชั่วกัปกัลป์พุทธันดร เพียงแต่ท่านไม่เวียนว่ายตายเกิดเหมือนสัตว์อื่นเท่านั้น...”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พระนิพพานเป็นอย่างไร

พระนิพพานเป็นอย่างไร
คราวหนึ่งท่านไปเทศน์ที่วังเจ้านายองค์หนึ่ง เจ้าของวังถามปัญหาว่า
“พระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร”

สมเด็จฯ ทูลว่า อาตมภาพก็ยังไม่เคยเข้านิพพาน เหมือนคนยังไม่เคยวิวาห์ ยังไม่ทราบว่า รสข้าวใหม่ปลามันนั้นเป็นฉันใด ดังมีนิทานเล่าว่า ยังมีพี่น้องสองสาว พี่สาวแต่งงานแล้วมาเยี่ยมน้องสาว น้องสาวถามความลับว่า หลับนอนกันมันสุขสนุกอย่างไร พี่สาวตอบว่า พูดไม่ถูก บอกไม่ได้ดอก แกเข้าวิวาห์แล้วแกก็จะรู้รสด้วยตนเอง แต่แล้วแกก็บอกเล่าใครไม่ได้  พระนิพพานนี้เป็นปัจจัตตัง รู้ได้แต่พระอรหันต์เท่านั้น

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน ฌานไม่เสื่อมในบุคคลผู้ได้ฌานกล้า








ฌานไม่เสื่อมในบุคคลผู้ได้ฌานกล้า
วันหนึ่งสมเด็จไปเทศน์ที่วังกรมพระยาบำราบปรปักษ์ กรมพระยาบำราบฯ ท่านถามพระธรรมอุดม ว่า ฌานโลกีย์เสื่อมได้ใช่ไหม พระธรรมอุดมตอบว่าใช่ เสื่อมได้ เช่นพระเทวทัต
ถามต่อไปว่า พระกาฬเทวินทร์ดาบส ได้ฌานสมาบัติแล้วมาเฝ้าพระสิทธัตถะกุมาร พอรู้ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ร้องไห้เสียดายว่าจะไม่ได้พบพระพุทธเจ้าเสียแล้ว จะต้องตายไปเกิดเป็นพรหม มีอายุนับหมื่นปี เหตุไฉนกาฬเทวินทร์ จึงไม่ทำให้ฌานเสื่อมเสียก่อนเล่า พระธรรมอุดมก็อั้นอึ้ง ตอบไม่ได้
กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงถามพระธรรมกิตติ (โต พรหมรังสี)
ท่านตอบว่า
“กุปปธัมโม อกุปปธัมโม”
“ฌานเสื่อมได้ในบุคคลที่ควรเสื่อม ฌานไม่เสื่อมในบุคคลที่ไม่ควรเสื่อม”
เปรียบเหมือนมีดเอามาเผาไฟ แล้วตี ๓ น้ำ ๓ ไฟ มีดก็เป็นเหล็กกล้า ไม่สามารถจะคืนตัวเป็นเหล็กอ่อนได้อีก แต่มีดที่เผาไฟครั้งเดียว ก็ยังเป็นเหล็กอ่อนอยู่ เอาไปฟันอะไรก็บิดเบี้ยว นี่คือเหล็กมันยังอ่อนอยู่ จึงเสื่อมได้...”

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน กามาบอกข่าว

กามาบอกข่าว
วันหนึ่งมีอีกาตัวหนึ่งมาร้องกาๆ อยู่ที่หน้ากุฏิสมเด็จ ท่านก็ออกมาพูดกับอีกาตัวนั้นว่า
“อยู่ที่นี่อดอยาก จะไปวัดมหาธาตุ เขาก็ทำความสะอาดเสียแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนดอก ไปที่ท่าเตียนดีกว่า มีอาหารกิน...”

อีกาตัวนั้นก็บินข้ามวั่งไปท่าเตียน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อตตริมนุสสธรรม ของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พ่อเป็นอะไรจ๊ะ


พ่อเป็นอะไรจ๊ะ
ในสมัยพระจอมเกล้าฯ ทรงโปรดการเสด็จประพาสไปในที่ต่างๆ เสมอ วันหนึ่งเสด็จไปพบสมเด็จพระพุฒาจารย์โต กำลังเดินผ่านหน้าไป คงจะแกล้งไปปรากฏตัวเพื่อเตือนสติอะไรสักอย่าง เพราะว่าท่านเห็นได้ในญาณทัศนะ เมื่อพระจอมเกล้าฯ ทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสบอกตำรวจวังว่า “นั่งสมเด็จโต ไปตามตัวมาที่นี่”
เมื่อตำรวจวังไปนิมนต์ว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ท่านก็ถามว่า
“พ่อเป็นอะไรล่ะจ๊ะ”
“กระผมเป็นตำรวจวัง”
“ถ้างั้นฉันไม่ไปดอกจ้ะ”
ตำรวจวังวิ่งมากราบทูลพระจอมเกล้าฯ ว่านิมนต์ท่านไม่ยอมมา
“ท่านว่าอย่างไรล่ะ”
“ท่านถามว่าพ่อเป็นอะไร พอบอกท่านว่าเป็นตำรวจวัง ท่านก็ตอบว่า ฉันไม่ไป”
“เออ จริง ให้สังฆการี ไปนิมนต์สมเด็จมา...”
สังฆการีไปนิมนต์ ท่านจึงมาเฝ้า
ควรทราบด้วยว่า ตำรวจวังมีหน้าที่จับฆราวาส แต่สังฆการี มีหน้าที่จับพระสงฆ์ที่ทำผิดวินัย เมื่อใช้คนทำหน้าที่ผิด ท่านก็ดื้อไม่เข้าเฝ้า

(โปรดติดตามตอนต่อไป)