วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สมเด็จทรงไตรจีวร ๓ ผืน

สมเด็จทรงไตรจีวร ๓ ผืน
สมเด็จทรงไตรจีวร ๓ ผืน คือสบง สำหรับนุ่ง จีวร สำหรับห่ม สังฆาฏิสำหรับพาดไหล่ มีผ้ารัดประคต คาดอกกันสังฆาฏิหลุด  เวลาอยู่วัดท่านจะห่มจีวรลดไหล่ เวลาออกนอกเขตวัดท่านจะมีสังฆาฏิพาดไหล่ และห่มคลุม เมื่อเข้าเขตวัด จึงลดไหล่ลงมา  ท่านห่มไตรจีวรแบบมหานิกายมาตลอด เพราะท่านบวชในคณะมหานิกายเดิมที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมัยนั้นยังไม่มีคณะธรรมยุติ วัดอินทรวิหารหรือวัดบางขุนพรหมที่เคยจำพรรษา และวัดระฆังเป็นวัดมหานิกายมาแต่เดิม  ท่านไม่เคยบวชแปลงเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกายเพื่อเอาใจพระจอมเกล้าฯ อย่าว่าแต่บวชเพื่อเอาพระทัยพระเจ้าแผ่นดินเลย ท่านกล้าขัดขวาง ท่านกล้าสอนธรรมะทางอ้อมแก่พระราชาธิราชเสียอีก จนพระจอมเกล้าฯ ทรงยกให้เป็นบาปมุติ คือไม่มีบาปไม่มีโทษ พระองค์อื่นไม่มีใครกล้าประพฤติเหมือนท่าน
สมเด็จฯ ท่านบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านประพฤติตามใจชอบของท่าน เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ แม้ทุกวันนี้ก็มีพระสมภารเจ้าวัดบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่อีกมาก คือพระสมภารตามบ้านนอกทั่วไป ต้องบำเพ็ญบารมี สงเคราะห์สัตว์ผู้ยาก ต้องเป็นที่พึ่งของเขายามทุกข์  ตัวอย่างเรื่องนี้มีไม่เฉพาะแต่พระไทยเราเท่านั้น แม้พระมอญก็ต้องปฏิบัติ เช่นพระอุตมะ พระมอญที่อพยพหนีสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาจากพม่า แทบว่าจะถูกฆ่าตายเสียหลายครั้ง มีชาวมอญมาขอของดีจากท่าน ท่านว่าไม่มีให้ดอก เขาก็จะเอาให้ได้ จึงให้เขาไปเก็บเอาก้อนกรวดมา ท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานเอาคุณพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่ง เอาความสัจจริงมาเป็นที่ตั้ง เสกก้อนกรวดแจกเขาไป พวกมอญก็เอาก้อนกรวดไปเป็นเครื่องรางรักษาตัวก็รอดปลอดภัยอันตราย  หรืออย่างพระภิกษุ พระยานรรัตน์ราชมานิต (ตรึก จินตยานน์) เมื่อพระราชปัญญาโกศล (ทองสุก ขาวผ่อง) สร้างโรงเรียนที่นครนายก สร้างเหรียญรูปของพระธัมมวิตกฺโกภิกขุ (คือพระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต) ให้ท่านปลุกเสก ท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานปลุกเสกให้ พระนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสของมหาชนมาก พระอรัญญวาสีนั้นมักไปพบชาวบ้านมาขอของดีจากท่านเสมอ ท่านจึงมักต้องประพฤติตนเป็นพระขลังด้วยการเสกพระเครื่องให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านก็เป็นพระธุดงค์เดินป่ามาก่อน ท่านจึงต้องสร้างพระเครื่องที่เรียกว่าพระสมเด็จแจกไปมากมาย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สมเด็จอาบน้ำขมิ้น

สมเด็จอาบน้ำขมิ้น
ในสมัยพระพุทธกาล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุอาบน้ำ ๑๕ วันต่อครั้ง ไม่ใช่เพราะชมพูทวีปกันดารน้ำ แต่เป็นธรรมเนียมของนักพรต นักบวช พระฤาษีชีไพร และพระภิกษุสงฆ์ ที่บำเพ็ญเพียรเพ่งฌานสมาบัติในป่า ในถ้ำ ไม่อาบน้ำทุกวัน เพราะการอาบน้ำนั้น
๑.เพื่อขัดสีฉวีวรรณให้ผ่องใส พระภิกษุไม่มีความประสงค์จะขัดสีฉวีวรรณ
๒.เกิดความกำหนัด โดยเฉพาะการอาบน้ำดำผุดำว่ายในน้ำใส โดยการเปลือยกาย
ท่านจึงอนุญาตให้ภิกษุอาบน้ำได้เพียง ๑๕ วันต่อครั้งเท่านั้น
แต่พระภิกษุฝ่ายอรัญญวาสีนั้น ท่านไม่อาบน้ำเลยก็มี ข้าพเจ้าพบมาแน่นอนองค์หนึ่งชื่อหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พระเกจิอาจารย์ชื่อโด่งดัง ท่านไม่อาบน้ำเลยตลอดปี
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านถือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอาบน้ำเพียงวันโกน คือขึ้น ๑๔ ค่ำของเดือน เมื่อปลงเกศาแล้ว ท่านอาบน้ำหนหนึ่ง น้ำที่อาบนั้นผสมผงขมิ้น ท่านเอาน้ำมาผสมผงขมิ้นอาบรดศีรษะท่าน รดราดลงมาเพื่อเอาเย็นเท่านั้น ผงขมิ้นนี้มีขาย เมื่อสมัยเด็กแม่ข้าพเจ้ามักเอาผงขมิ้นมาผสมน้ำอาบให้ข้าพเจ้าเสมอๆ โดยเฉพาะเวลาพ่อเฆี่ยนตีจนเป็นปื้นแดงๆ ตามเนื้อตัวแล้ว แม่จะเอาผงขมิ้นมาผสมน้ำทาตัวให้เป็นการรักษาแผลหรือผื่นคันด้วย
การอาบน้ำทุกวันเช้าเย็นนั้น มีผลอีกอย่างหนึ่ง คือทำให้ภูมิต้านทานในตัวลดลง โดยเฉพาะคนที่อาบน้ำว่านยานั้น ท่านจะไม่อาบน้ำทุกวัน เพียงแต่ล้างเท้า ล้างมือ ล้างหน้าเท่านั้น
โดยเฉพาะสมเด็จฯ ท่านอาบน้ำขมิ้นเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น อาบวันโกน (ปลงเกศา) ขึ้น ๑๔ ค่ำ ของทุกเดือน
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ยาอายวัฒนะของสมเด็จ


ยาอายุวัฒนะของสมเด็จ
วันหนึ่งเข้าไปในวัง พบบุรุษชราคนหนึ่ง ชื่อนายบุญช่วย ประณีตทอง (ข้าราชการในวัง) ท่านบอกว่าท่านมีอายุ ๘๘ ปี ถามว่าทำอย่างไรจึงอายุยืนมาถึงขนาดนี้ยังแข็งแรงดี  ท่านบอกว่ากินยาอายุวัฒนะ ท่านว่าเป็นตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ผู้รับตำรามาชื่อขุนประมาณราชทรัพย์ อายุ ๘๒ ปี ท่านได้รับตำรามาชั่วที่ ๓ บัดนี้อายุ ๘๘ ปี ท่านมอบให้ข้าพเจ้าเป็นชั่วคนที่ ๔
เมื่อเอาตำรานี้ไปเจียดยาที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ หน้าวัดสามปลื้ม ผู้ขายยารู้จักยานี้เป็นอย่างดี แสดงว่าตำรายานี้แพร่หลายพอสมควร จึงนำมาเผยแพร่ต่อเป็นทาน สำหรับท่านผู้สนใจตำรายาสมุนไพรไทย  อันที่จริงก่อนที่ยาตำราฝรั่งและนายแพทย์แผนใหม่จะมาแทนที่ในปัจจุบันนี้นั้น คนไทยแต่โบราณชั้นปู่ย่าตาทวดก็รักษาโรคกันมาด้วยยาสมุนไพรตลอดมา...
ยาอายุวัฒนะ
๑.   โกฐเชียง         หนัก ๒ สลึง
๒.   โกฐเขมา         หนัก ๑ สลึง
๓.   โกฐก้านมะพร้าว        หนัก ๑ บาท ๒ สลึง
๔.  โกศกักกรา      หนัก ๒ บาท
๕.  โกศสอ           หนัก ๑ สลึง
๖.   โกศบัว           หนัก ๓ สลึง
๗.  โกศจุฬาลัมพา  หนัก ๑ บาท ๑ สลึง
๘.  โกศกระดูก      หนัก ๑ บาท ๒ สลึง
๙.  โกศน้ำเต้า       หนัก ๔ บาท
๑๐.          รากชะพลู    หนัก ๑ สลึง
๑๑.         เจตมูลเพลิง หนัก ๒ สลึง
๑๒.         ขิงแห้ง       หนัก ๑ บาท ๒ สลึง
๑๓.         กระเทียม    หนัก ๑ บาท
๑๔.        ผิวมะกรูด    หนัก ๑ บาท
๑๕.        บอระเพ็ด    หนัก ๑ บาท
๑๖.         เปลือกก้างปลาแดง        หนัก ๒ บาท
๑๗.        ใบคณฑีสอ  หนัก ๑ บาท
๑๘.        ยาดำ         หนัก ๔ บาท
๑๙.        สะค้าน       หนัก ๒ สลึง
๒๐.         ดีปลีเชือก   หนัก ๑ บาท
๒๑.         สมอไทย     หนัก ๑ บาท
๒๒.        ว่านน้ำ        หนัก ๑ บาท
๒๓.        ลูกผักชี      หนัก ๓  สลึง
๒๔.        ลูกมะตูม     หนัก ๒ บาท
๒๕.        มหาหิงส์     หนัก ๒ บาท
๒๖.         แห้วหมู       หนัก ๒ บาท
๒๗.       ส้มกุ้งทั้งสอง หนักอย่างละ ๑ บาท
๒๘.       เทียนทั้งเจ็ด หนักอย่างละ ๑ บาท
๒๙.        จันทร์ทั้งสอง หนักอย่างละ ๒ สลึง
๓๐.         มะแว้งทั้งสอง หนักอย่างละ ๒ บาท
ทั้ง ๓๐ สิ่งนี้ บดละเอียดคลุกเคล้าให้เข้ากันเก็บเอาไว้ แบ่งเฉพาะส่วนน้อยที่จะรับประทานก่อนผสมน้ำรวงพอเหนียวปั้นเป็นลูกกลอนขนาดโตเท่าผลพุทราพื้นเมืองรับประทานก่อนอาหารเย็นทุกวัน.
ยาอีกขนานหนึ่ง คือยารักษาโรคเบาหวาน มีผู้หวังดีบอกให้ มีตัวยา ๘ อย่างดังนี้
๑. กำแพงเจ็ดชั้น  หนัก ๒ บาท
๒. แซ่ม้า หนัก ๒ บาท
๓. มะแว้งเครือ หนัก ๒ บาท
๔. โมกขาว หนัก ๒ บาท
๕. เถาหมากแดง หนัก ๒ บาท
๖. ชะเอมไทย หนัก ๒ บาท
๗. รากลำเจียก หนัก ๒ บาท
๘. รากคนธา หนัก ๒ บาท 
เจียดเครื่องยาสมุนไพรมาต้มกินต่างน้ำ หายแล้วให้ทำบุญอุทิศกุศลให้แก่เจ้าของยานี้ด้วย ใครได้ตำรานี้ไปให้บอกเป็นทาน


วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สมเด็จดับขันธ์

สมเด็จดับขันธ์*
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ในวัยชราภาพ ท่านยังอุตสาหะไปสร้างพระศรีอารยเมตไตรยที่วัดอินทรวิหาร  ท่านสร้างเป็นพระศรีอารยเมตไตรย์ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในภัทรกัปนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า พระอชิตภิกษุ หรือเจ้าชายอชิตสัตตุราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู กับพระนางกัญจนา ออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้ารุ่นหลัง ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด เพราะปรารถนาพระโพธิญาณมาแต่อดีตชาติ  พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่าพระอชิตสัตตุภิกษุองค์นี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ไม่มีใครเชื่อ พระองค์จึงทรงจับบาตรของพระองค์โยนขึ้นบนอากาศ บาตรนั้นก็หายวับไป ให้ใครๆ ค้นหาก็ไม่เจอ ตรัสสั่งให้พระอชิตภิกขุ พระภิกษุบวชใหม่ค้นหา พระอชิตภิกษุก็ออกมากราบถวายบังคม แล้วอธิษฐานว่า ถ้าแม้นว่าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้จริง ขอให้บาตรของพระผู้มีภาคเจ้าจงลอยลงมาสู่มือข้าพเจ้าบัดนี้เถิด ขาดคำอธิษฐานเท่านั้น บาตรก็ลอยลงมาสู่มืออย่างสำลี  สมเด็จพระพุฒาจารยทราบเรื่องนี้ มีความปรารถนาจะพบพระศรีอาริย์ในอนาคต จึงสร้างพระศรีอารยเมตไตรยไว้เคารพบูชาของมหาชนที่วัดบางขุนพรหม ท่านไปนั่งบัญชาการสร้างอยู่ที่วัดนั้น ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ท่านก็ดับขันธ์ที่วัดบางขุนพรหมนี้ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ อายุ ๘๕ ปี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไม่บรรลุพระอรหันต์แน่นอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ คือขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลอีกแสนไกล สมเด็จจึงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ในชาตินี้ช่วยชาติป้องกันพระพุทธศาสนา สงเคราะห์ประชาชน อนุเคราะห์สัตว์ไปตามกำลังสติปัญญาของท่าน  พระที่บวชบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์มีมากในสมัยก่อน และมีมาจนถึงปัจจุบัน  พระเจ้าตากสิน พระนั่งเกล้าฯ ล้วนแต่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น แม้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ท่านก็บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ด้วย  พระราชธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อเงิน) พระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้าก็บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระราชกวีวงศ์ วัดเสน่หา นครปฐม ท่านก็ประกาศว่าท่านบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านบัณฑูรสิงห์ แห่งสมุทรสาคร ผู้สร้างวัดบัณฑูรสิงห์และวัดเกตุมวดี ท่านก็บำเพ็ญบารมีปรารถนาพระโพธิญาณ ท่านกิตติวุฑโฒ หรือพระเทพกิตติปัญญาคุณ ท่านก็บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์
คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณนั้น เกิดมาสร้างบารมีทุกชาติ ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเทพชั้นดุสิต เมื่อเกิดใหม่ก็จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ทุกชาติไป ... ใครคงไม่เคยคิดนะว่า สมเด็จพระศรีนครินทราฯ ที่ท่านเสียสละความสุขออกช่วยประชาชนตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน สวรรคตเมื่ออายุ ๙๔ ปีนั้น ท่านคือพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ท่านเป็นบุคคลประเภทสมเด็จพระพุฒาจารย์นี่แหละ บุคคลอย่างนี้มีในประเทศไทยตลอดมาตั้งแต่โบราณกาลมาจนทุกวันนี้
(* พระสงฆ์ตาย ต้องพูดว่าดับขันธ์เพราะดับเบญจขันธ์)
(โปรดติตตามตอนต่อไป)