วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อุตคริมนุสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน พระพุทธรูปคือองค์พระปฎิมา

                             พระพุทธรูปคือองค์พระพุทธปฏิมา
วันหนึ่งสมเด็จฯ ท่านไปในงานบ้านช่างหล่อ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ห่างทางเดินประมาณ ๒ ศอก ท่านก็ยกมือขึ้นนมัสการ พระที่เดินตามก็ต้องทำตามท่านบ้าง นายเทศ จึงถามว่า “พระพุทธรูปที่พึ่งหล่อเสร็จ ยังไม่ได้ทำพิธีเปิดพระเนตร เป็นพระพุทธปฏิมากรแล้วหรือขอรับ”
สมเด็จฯ ท่านตอบว่า
“เป็นจ้ะ เป็นตั้งแต่ผู้ทำหุ่นหล่อเป็นพระพุทธรูปแล้ว เพราะเขาตั้งใจหล่อให้เป็นพระพุทธรูปปฏิมากร แทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สิ่งนั้นไม่ใช่อิฐ หิน ดิน หรือทองเหลืองต่อไปแล้ว เป็นอุเทสิกเจดีย์เป็นเจดีย์ที่อุทิศถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า...”

สุนัขพระโพธิสัตว์
สมเด็จฯ ท่านเคารพสัตว์ด้วย ท่านถือว่าสัตว์นั้นคือสัตว์ชั้นต่ำ มนุษย์นั้นคือสัตว์ชั้นสูงที่มีใจสูงกว่าสัตว์ เพราะรู้ดีรู้ชั่ว รู้บาปบุญคุณโทษ เวลาท่านจะเดิน เช่นหมากำลังนอนขวางทาง หรือนอนขวางบันไดอยู่ ท่านจะบอกว่า “ขอโทษ ขอฉันไปหน่อยนะจ๊ะ”

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อุตตริมนุสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน วิญญาณอยู่ที่ไหน



วิญญาณอยู่ที่ไหน

เจ้าภาพผู้เป็นบัณฑิต สอบถามสมเด็จต่อไปอีกว่า วิญญาณ มีหรือไม่ ถ้ามีวิญญาณอยู่ที่ไหน สมเด็จตอบว่า
“วิญญาณมีอยู่ในอากาศ ล่องลอยไปมาเหมือนฝุ่น ปลิวไปในอากาศ เหมือนเม็ดแมงลักแช่น้ำมันพร้อมที่จะผุดเกิดได้ทุกเวลานาที วิญญาณตัวเดียวนี้แหละเข้าท้องคนก็เกิดเป็นคน เข้าท้องหมาก็เกิดเป็นหมา เข้าท้องควายก็เกิดเป็นควาย เข้าท้องช้างก็เกิดเป็นช้าง เข้าท้องม้าก็เกิดเป็นม้า เข้าท้องลิงก็เกิดเป็นลิง พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ มาทุกชนิด พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสุนัขมาแล้ว เคยเกิดเป็นลิงเคยเกิดเป็นช้างมาแล้ว จึงทรงเบื่อหน่ายการเกิดมาตายเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร จึงพากเพียรพยายามบำเพ็ญพระบารมี เพื่อเข้านิพพานบรมสุข ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป”
“แล้วทรงมีพระมหากรุณาแก่สัตว์อื่น ที่เกิดมาเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด จึงทรงพากเพียรพยายามเทศนาสั่งสอนให้คนบำเพ็ญเพียรพ้นทุกข์ไม่ต้องมาเกิดอีก คือบรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานบรมสุข จึงมีผู้ปฏิบัติตามจนได้เป็นพระอรหันต์นับพันนับหมื่นองค์ในสมัยนั้นมาจนทุกวันนี้ การเป็นพระอรหันต์การบรรลุพระนิพพาน จึงเป็นจุดหมายปลายทาง เรียกว่า มรรคผลนิพพานหรือโลกุตตรธรรม แปลว่า พ้นโลก เหนือโลก ลอยอยู่ในนภากาศประดุจดังดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายในนภากาศ แสนล้านปีก็ลอยคว้างอยู่ได้ในโกฏิจักรวาล นี้มีดวงดาวนับล้านดวง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล ที่เกิดเองเป็นเอง ไม่มีพระเจ้าองค์ใดสามารถสร้างหรือจัดระบบได้เลย...”
คำปุจฉา แปลว่า ถามปัญหา และคำวิสัชนา แปลว่า คำวินิจฉัยของสมเด็จกับเจ้านายนี้ ลึกซึ้งเกินไป เหลือกำลังปัญญาของไพร่บ้านธรรมดาจะจดจำมาเล่าขานกัน เป็นธรรมที่รู้กันในหมู่บัณฑิต จึงไม่เล่ากันในหมู่ชาวบ้านทั่วไป
ถึงจะมีใครนำมาเล่า ก็ไม่เป็นที่สนใจที่จะเงี่ยโสตสดับ หรือจดจำไว้ มันเกินปัญญาบารมีของปุถุชนคนทั่วไป ด้วยเป็นเรื่องห่างไกลจากชีวิตประจำวันของชาวบ้านธรรมดา
ชนชาติไทยเรา มาอยู่ในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จึงมีนิสัยรักแต่ความสะดวกสบาย ไม่ชอบคิดเรื่องลึกซึ้ง ไม่ชอบฟังเรื่องนามธรรมที่มองเห็นยาก คนไทยเราจึงหาคนที่เป็นนักคิด นักค้นคว้า นักการศาสนา นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยพบ รู้อะไรก็รู้ตามคำเขาว่า เป็นนักคัดลอก นักลักจำเสียมาก ไม่เหมือนชาวอินเดียว ชาวจีน แม้แต่เรื่องจิตวิญญาณที่สอนอยู่ในพุทธศาสนาก็ไม่ค่อยมีคนสนใจ


วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

อุตตริมนสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน กระต่ายดำ กระต่ายขาว

กระต่ายดำ กระต่ายขาว

ลูกศิษย์สมเด็จพระสังฆราชด่อน ที่ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่สององค์ องค์แรกบวชเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ มีนามฉายาว่า โต พรหมรังสี องค์ที่สองบวชเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ มีนามฉายาว่า วชิรญาณ คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ พระภิกษุทั้งสององค์นี้เก่งคนละด้าน องค์แรกเก่งทางวิปัสสนา เป็นพระฝ่ายอรัญญวาสี เชี่ยวชาญทางสมถวิปัสสนา ถึงขนาดได้ญาณทัศนะเห็นได้ในที่ลี้ลับห่างไกล องค์ที่สองเก่งทางปริบัติ เก่งทางภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ แต่ทั้งคู่มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม จึงต่างองค์ต่างนับถือกัน เรียกว่าปราชญ์รู้เชิงปราชญ์
เมื่อพระวชิรญาณ ตั้งคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นเพื่อกุศโลบายอันลึกซึ้ง ๒ ประการ คือ ๑.เพื่อปฏิรูปพระพุทธศาสนาให้เรียบร้อยขึ้น ๒.เพื่อหาสมัครพรรคพวกทางการเมืองในการที่จะขึ้นครองราชสมบัติแบบพระพิมลธรรมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระเจ้าทรงธรรม มีคนเข้ามาถวายตัวเป็นศิษย์กันมาก เมื่อทราบว่าพระมหาโต เก่งมาก มีคนเคารพนับถือมาก จึงให้คนมานิมนต์พระมหาโตไปพบที่วัดสมอราย
“มีบุรุษสองคน เดินทางมาด้วยกัน ต่างคนต่างแบกปอมาพบผ้าไหมเข้า คนหนึ่งจึงทิ้งป่านปอที่แบกมาทอเป็นผู้นุ่งห่ม จึงทิ้งป่านปอนั้นลงเสีย เอาผ้าไหมไป อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้งป่านปอ คงแบกปอต่อไป ท่านเห็นว่า คนแบกปอหรือคนแบกไหมใครฉลาดกว่า...”
พระจอมเกล้าหรือพระวชิรญาณ กล่าวเป็นปริศนาธรรม
มหาโต ฟังแล้วรู้เท่าทันว่า จะชักชวนเข้าบวชใหม่ในธรรมยุติกนิกาย จึงตอบเฉไฉว่า
“ยังมีกระต่ายสองตัว หากินอยู่ในป่าด้วยกัน ตัวหนึ่งขาว ตัวหนึ่งดำ วันหนึ่งกระต่ายขาวชักชวนกระต่ายดำว่า หญ้าฝั่งน้ำข้างโน้นมีมากกว่าฝั่งนี้ ควรว่ายน้ำข้ามฟากไปหากินฝั่งโน้นหญ้าอุดมสมบูรณ์กว่า กระต่ายดำไม่ยอมไป กระต่ายขาวจึงว่ายน้ำข้ามฝั่งไปหากินแต่ตัวเดียว ว่ายน้ำข้ามไปมาอยู่เสมอ วันหนึ่งเกิดลมพายุพัดจัด มีคลื่นลมปั่นป่วน พัดเอากระต่ายขาวจมน้ำตาย แต่กระต่ายดำยังอยู่ดี ฝ่าบาทลองทำนายดูว่ากระต่ายตัวไหนฉลาด...”
เรื่องก็จบลง ไม่มีการโต้ตอบกันไป มหาโต ก็คงอยู่ในคณะมหานิกายต่อมา ไม่ยอมเปลี่ยนนิกายจนกระทั่งมรณภาพ ในตำแหน่งพระราชาคณะชั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์


อุตตริมนุสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต ) ตอน พระนิพพานเป็นอยางไร



พระนิพพานเป็นอย่างไร

คราวหนึ่งท่านไปเทศน์ที่วังเจ้านายองค์หนึ่ง เจ้าของวังถามปัญหาว่า
“พระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร”
สมเด็จฯ ทูลว่า อาตมภาพก็ยังไม่เคยเข้านิพพาน เหมือนคนยังไม่เคยวิวาห์ ยังไม่ทราบว่า รสข้าวใหม่ปลามันนั้นเป็นฉันใด ดังมีนิทานเล่าว่า ยังมีพี่น้องสองสาว พี่สาวแต่งงานแล้วมาเยี่ยมน้องสาว น้องสาวถามความลับว่า หลับนอนกันมันสุขสนุกอย่างไร พี่สาวตอบว่า พูดไม่ถูก บอกไม่ได้ดอก แกเข้าวิวาห์แล้วแกก็จะรู้รสด้วยตนเอง แต่แล้วแกก็บอกเล่าใครไม่ได้  พระนิพพานนี้เป็นปัจจัตตัง รู้ได้แต่พระอรหันต์เท่านั้น

อุตตริมนุสธรรมของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร


พระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร

คราวหนึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ไปเทศน์ที่วังเจ้านายองค์หนึ่ง เจ้านายนั้นลองภูมิสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)ว่า  พระอรหันต์มีลักษณะ ๔ อย่าง
๑.อกัมมยตา ไม่สู้ เช่น พระอุบลวรรณา
๒.อคัมมยตา ไม่หนี เช่น พระโมคัคานะ
๓.อตัมมยตา ไม่อยู่ ไม่มาเกิดอีกในโลกนี้
๔.อมัมมยตา ไม่ตาย เมื่อไม่ตายก็ไม่เกิด

แล้วถามสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ว่า 

“ถ้าเช่นนั้นพระอรหันต์ก็ตายสูญใช่หรือไม่...”


สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอบว่า  

“ไม่ตายสูญดอก  ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้สูญหายไปเลย พระอรหันต์ท่านอยู่ในพระนิพพาน ที่เรียกว่าโลกุตตรภูมิ ชั่วกัปกัลป์พุทธันดร เพียงแต่ท่านไม่เวียนว่ายตายเกิดเหมือนสัตว์อื่นเท่านั้น...”


วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

อุตตริมนุสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ภัตตาหารชาววัง


ภัตตาหารชาววัง

พระอารามหลวงสมัยนั้น มีโรงครัวของวัด วันใดได้รับอาหารบิณฑบาตน้อย หรือพระภิกษุอาพาธก็มีพระจัดภัตตาหาร เรียกว่า พระภัตตุเทศก์ (ภัตต+อุเทศก์) พระผู้แนะนำอาหาร สำหรับวัดระฆังนั้น พระจุลจอมเกล้าทรงเคารพเป็นพิเศษ จึงพระราชทานอาหารจากวังไปถวายเสมอ
วันหนึ่งสมเด็จท่านได้รับพระราชทานภัตตาหารมาจากในวัง ท่านก็ไม่ฉัน แต่เอาภัตตาหารนั้นมาใส่กระทะเอาผักบุ้งสายบัวมาหั่นใส่ลงไปให้มาก จะเรียกว่าแกงส้มก็ไม่ได้ จะเรียกว่าแกงเผ็ดก็ไม่เชิง เพราะไม่มีเนื้อหมู เนื้อปลา มีแต่ผักกับอาหารที่พระราชทานมา พอทำครัวเสร็จก็ตีกลองเพล ให้พระมารับภัตตาหารในโรงครัว สมเด็จท่านตักแจกด้วยตนเองเลย พระเณรก็มารับอาหารกันทั่วหน้า ท่านบอกว่าอาหารชาววังนะจ๊ะ ฉันได้รับพระราชทานมา จึงเอามาแบ่งให้ท่านฉันกันพอรู้รสชาติ แต่ฉันปรุงเสียใหม่นะจ๊ะ เพราะของมีน้อยเอาอาหารในวังมาเป็นเชื้อกระสาย
วันนั้นเป็นวันธรรมสวนะ พระทั้ง ๕๐ รูปก็ลงโบสถ์ตอนเย็น สมเด็จก็ไปนั่งอยู่ที่บันไดประตูโบสถ์ องค์ไหนผ่านมา ท่านก็ทักทายถามว่าอาหารมื้อนี้อร่อยมากไหม
“อร่อยมากขอรับ”
“พอฉันได้ขอรับ”
“รสชาติดีขอรับ”
“อาหารพระจะเอาอร่อยมากไม่ได้ดอกขอรับ เราฉันเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อฉัน” ต่างองค์ต่างตอบไปคนละอย่าง
พอมาถึงหลวงตาองค์หนึ่ง ท่านตอบว่า “ไม่ไหวขอรับพระเดชพระคุณ เทให้สุนัขมันยังไม่กิน”
สมเด็จท่านยกมือไว้พระหลวงตาองค์นั้น พูดว่า “สาธุ หลวงตานี่แหละศีลบริสุทธิ์ ควรเคารพนบไหว้...”
หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว สมเด็จก็เทศน์อบรมพระ ยกย่องหลวงตาว่าเป็นพระศีลบริสุทธิ์ แล้วอธิบายต่อไปว่า
“นี่แหละท่านเรียกว่าอาการสำรวม คือเมื่อพระเราฉันอาหาร ท่านให้สำรวม ๓ อย่าง คือ สำรวมกิริยา อย่าฉันอาหารเสียงดับจั๊บๆ อย่าซดน้ำแกงดัง สำรวมวาจา อย่าคุยกันในเวลาฉันอาหาร สามสำรวมใจ พิจารณาว่าเราฉันเพื่อมีชีวิตอยู่ปฏิบัติธรรม ไม่ติดในรสอาหาร ฉันเพียงเพื่ออิ่มไปมือหนึ่ง เมื่ออาหารลงไปในท้องแล้วเหมือนกันหมด รากออกมาก็เหม็น ถ่ายออกมาก็เหม็นเหมือนกันทุกคน อย่าลืมอาหารสำรวมของผมเสียนะ...”



วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

อุตตริมนุสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน แผ่เมตตา


ภาวนา หรือ การสวดมนต์ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า การภาวนาสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก แต่ความจริงแล้วการสวดมนต์ภาวนา มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์ภาวนา เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ การสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ และใช้สติพิจารณาเกิดเป็นปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ภาวนา ทำให้บรรลุไปสู่พระนิพพาน “ หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง ” ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้ “ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้น พรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ” บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้ากันหรอกนะจ๊ะ ...ขอเจริญพรภาวนา หรือ การสวดมนต์ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า การภาวนาสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก แต่ความจริงแล้วการสวดมนต์ภาวนา มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์ภาวนา เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ การสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ และใช้สติพิจารณาเกิดเป็นปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ภาวนา ทำให้บรรลุไปสู่พระนิพพาน
“ หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง ” ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้ “ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้น พรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ” บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้ากันหรอกนะจ๊ะ ...ขอเจริญพร

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

อุคคริมนุสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน พระอรหันต์ในบ้าน

พระอรหันต์ในบ้าน 

     คราวหนึ่ง "สมเด็จโต" ได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ครั้นพอพบหน้าท่าน เจ้าผู้ครองแผ่นดินก็ทรงสัพยอกว่า...
"ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมืองว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย"
สมเด็จโตทรงทูลว่า
"ผู้ที่ไม่เคยฟังในธรรม ครั้นเขาฟังธรรม และได้รู้เห็นในธรรมนี้แล้ว เขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพรมหาบพิตร"
และวันนี้อาตมาจะมาเทศน์เรื่อง
"พระอรหันต์อยู่ในบ้าน" ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหล่าขุนนางต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะอยู่ในถ้ำ - ในป่า - ในเขา ในที่เงียบสงัดหรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโตจึงกล่าวว่าจะเทศนาเรื่อง "พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"
ในขณะที่ทุกคนพากันคิดสงสัยอยู่นั้น ฝ่ายสมเด็จโตทรงทราบด้วยญาณวิถีของทุกคน ท่านจึงขยายความต่อไปว่า...
"จิตพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านละจากความโลภ ความหลง ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆทั้งสิ้น เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม"
"หากใครได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วไซร้ ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด บุญที่ได้ทำกับท่านจะให้ผลในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า ทุกๆคนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน แต่ไม่เคยมองเห็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านเลย"
ทุกๆคนที่นั่งฟังเทศนาอยู่ในที่แห่งนั้น ต่างทำสีหน้างุนงงไปตามกัน
สมเด็จโตจึงเทศนาต่อไปว่า...
"พระอรหันต์คือ พระผู้ประเสริฐ คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐ เพียงหวังที่จะยึดท่าน เกาะผ้าเหลืองท่าน เกาะหลังของท่าน เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุข แม้ว่าท่านจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้า เราก็ยังอุตสาห์ดั้นด้นดิ้นรนไปหา เพียงหวังเพื่อยึดเหนี่ยวและบูชาท่าน"
"แต่พระที่อยู่ภายในที่ใกล้ตัวที่สุดกลับมองข้าม มองไม่เห็นเหมือนใกล้เกลือแต่กลับไปกินด่าง อันน้ำใจของพ่อ - แม่ที่ให้ต่อลูก มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทนเช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ที่ให้ต่อมนุษย์ก็มีความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน"
"พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้อง ท่านทนทุกข์ทรมานแต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด"
"แม้ลูกเกิดมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ท่านก็ยังรัก ยังสงสาร เพราะท่านคิดเสมอว่านั้นคือสายเลือด ไม่เคยคิดรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านกลับจะเพิ่มความรักความสงสารมากยิ่งขึ้น"
"ครั้นตอนที่เราเป็นเด็กเล็กๆก็ซุกซน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอพ่อแม่ต่างๆนานา เพราะความไร้เดียงสา ท่านก็ไม่เคยโกรธเคืองกลับยิ้มร่าชอบใจ เพิ่มความรักความเอ็นดูให้เสียอีก"
"แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางครั้งด้วยความโกรธ ความหลง เราก็ยังทุบตีหรือด่าทอท่านอยู่ แทนที่ท่านจะโกรธหรือถือโทษเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉย ยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตา ยอมเป็นเครื่องรองรับมือ รับเท้าและปากของเรา"
"สำหรับลูกแล้ว ท่านเสียสละให้ทุกอย่าง ท่านให้อภัยในการกระทำของเราเสมอ เพราะท่านกลัวเราจะมีบาปติดตัว จึงยอมที่จะทุกข์เสียเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะรักเราและหวังดีต่อเราอย่างจริงจังและจริงใจเหมือนพ่อแม่"
"ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนเราเติบใหญ่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และกำลังทรัพย์ให้แก่เราอย่างมากมาย จนไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเลขได้"
"ในบางครั้งลูกหลงผิดเป็นคนชั่วด้วยอารมณ์แห่งโทสะ เป็นคนเมาขาดสติ ก่อกรรมทำเข็ญเป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในสายตาของท่านแล้ว เมื่อมีภัยสู่ลูกก็ยังปกป้องรักษา ช่วยเหลือลูกอย่างเต็มกำลังและสุดความสามารถยอมเสียทรัพย์สินและเงินมากมาย เพื่อให้ลูกได้พ้นผิด"
"ถึงแม้ว่าในบางครั้งลูกต้องถูกจองจำหมดแล้วซึ่งอิสรภาพด้วยอาญาแห่งแผ่นดินก็คงมีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่คอยหมั่นดูแลไปเยี่ยม คอยส่งน้ำส่งข้าวปลาอาหาร คอยให้กำลังใจแก่ลูก และรอนับเวลาที่ลูกจะกลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง"
"น้ำใจที่มีต่อลูกเช่นนี้เปรียบเท่ากับน้ำใจของพระอรหันต์โดยแท้ พ่อแม่จึงเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเราจริงๆ ทำไมพวกท่านจึงไม่คิดที่จะทำบุญกับพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านของท่านเล่า"
"สำหรับลูก ถึงแม้พ่อแม่จะเป็นโจร เป็นคนชั่วในสายตาของบุคคลอื่น แต่สำหรับลูกแล้วท่านเสียสละได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่ชีวิตท่านก็สามารถเสียสละให้ลูกได้ พ่อแม่มีลูกนับ 10 คนเลี้ยงดูมาเติบใหญ่ แต่ลูก 10 คน กลับเลี้ยงดูพ่อแม่เพียง 2 คนไม่ได้ ชอบเกี่ยงกัน เพราะลูกเหล่านั้นกำลังลืมคำว่าพระคุณของพ่อแม่"
"ยามที่พ่อแม่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราควรที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่โดยการซื้ออาหารการกิน ซื้อเสื้อผ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน เข้าวัดเข้าวา อะไรก็ตามที่ทำแล้วให้ท่านมีความสุขก็ควรทำให้ท่าน และเลี้ยงดูจิตใจท่าน เชื่อฟังในโอวาทคำเตือนของท่าน"
"คำพูดคำจาที่จะพูดกับท่านก็ต้องระมัดระวังเพราะคนแก่นั้นใจน้อย ต้องรักษาน้ำใจท่านไว้ด้วยคำพูดที่นิ่มหู ไม่ปล่อยทิ้งให้ท่านอยู่อย่างว้าเหว่ คอยเอาใจใส่ปรนนิบัติดูแลท่านอย่างใกล้ชิด"
"แต่คนส่วนมากมักจะทำบุญให้พ่อแม่ เมื่อยามที่ท่านตายจากเราไปแล้ว นั่นคือการพลาดและเป็นการพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา ซึ่งความจริงแล้วเราควรที่จะทำบุญให้กับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที"
"ขอให้สาธุชนทั้งหลายผู้มาได้ฟังธรรมในวันนี้จงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ในบ้าน การทำบุญแบบนี้จะได้อานิสงส์ทันตาเห็นในชาติปัจจุบัน"
"พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน พวกท่านไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่าองค์ใดจริงหรือไม่จริง แต่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เป็นของจริงและบูชาได้อย่างแน่นอน ไม่เคยเห็นผู้ใดเลยที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้วต้องพบกับความวิบัติ ไม่เคยมี มีแต่เจริญรุ่งเรือง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ มีแต่ความสุข"
"ขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ จงใช้สติและพิจารณาในเรื่องราวต่างๆที่อาตมาได้เทศนาให้ฟังในครั้งนี้ให้ดี แล้วประโยชน์และความสุขก็จะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย อย่างทันตาเห็น"
"เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอถวายพระพร"
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและข้าราชบริพาร ได้ฟังคำเทศนาของสมเด็จโตจบลง บ้างน้ำตาก็คลอเบ้า บ้างน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาสุดที่จะกลั้นได้ ด้วยความรู้สึกรักสงสาร และคิดถึงพระคุณพ่อแม่ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจอย่างที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าผู้ครองแผ่นดินแห่งสยามประเทศ จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสั่นเครือว่า...
"ท่านเจ้าคุณท่านเทศน์ได้จับใจยิ่งนัก และขอให้ทุกคนจงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์เถิด"