วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรมของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน ห้ามคลื่นลม

ห้ามคลื่นลม
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระจอมเกล้าฯ เคยเสด็จไปธุดงค์ที่เขาย้อยและเขามหาสมณะ ที่เรียกว่าเขาวัง เมื่อท่านเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ท่านจึงไปสร้างพระราชวังบนเขามหาสมณะ แล้วสร้างวัดมหาสมณารามไว้ที่เชิงเขา สร้างมณฑปครอบพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้สร้างขึ้นไว้ตอนปลายรัชกาล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๕ ในคราวประชวร มาประทับแรมที่หาดบางทะลุ (ซึ่งพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระราชทานชื่อใหม่ว่า หาดเจ้าสำราญ เนื่องจากพระพุทธเลิศหล้ามาประทับที่นั่นแล้วหายประชวร) เมื่อหายประชวรแล้วจึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ไว้บนเชิงเขามหาสมณะนั้น ยาว ๒๑ วา เป็นพระพุทธรูปที่งดงามมาก เนื่องจากใช้ช่างหลวงสร้าง เมื่อสร้างแล้วก็สวรรคต ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ยังไม่ทันได้สร้างมณฑป  เมื่อรัชกาลที่ ๔ มาสร้างพระราชวังบนเขามหาสมณะนั้น ทรงเปลี่ยนชื่อเขาว่า เขามหาสมณะ  โปรดให้เฉลิมพระราชมณเฑียรเขานั้น พระราชทานนามว่า พระราชวังพระนครคีรี  สร้างพระเจดีย์บรรจุพระธาตุ และสร้างหอดูดาวไว้บนเขามหาสมณะนั้นด้วย เสร็จแล้วให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธไสยาสน์ด้วยไม้มุงสังกะสี แล้วมีงานฉลองเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๕ นิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไปในงานสวดพระพุทธมนต์ฉลองพระราชมณเฑียรด้วย
ตอนขากลับวัด เป็นเวลาบ่าย มีคลื่นลมแรงกล้า สมเด็จท่านเตรียมออกเรือจากปากอ่าวบ้านแหลมจะข้ามมาปากอ่าวแม่กลอง ชาวบ้านห้ามว่าอย่าไปเลย คลื่นลมจัด ท่านก็ไม่เชื่อฟัง ออกมายืนที่หน้าเก๋งเรือโบกมือไปมา ไม่ช้าคลื่นลมก็สงบ ท่านจึงเดินทางข้ามอ่าวบ้านแหลม เพชรบุรี มายังอ่าวแม่กลอง เมืองสมุทรสงคราม เข้าคลองสุนัขหอน เข้าแม่น้ำท่าจีนมาจนถึงวัดระฆังในคืนนั้น
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 


วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน อยากสบายก็ทำเสียอย่างหมา

อยากสบายก็ทำเสียอย่างหมา
พระภิกษุเทศ วัดชนะสงคราม เล่าให้ใครๆ ฟังว่า คราวหนึ่งเกิดทะเลาะกับพระอุดมญาณ เจ้าอาวาส ภายหลังที่โต้เถียงกับเจ้าอาวาสแล้วก็เกิดไม่สบายใจมาก อยากจะหนีเร้นไปหาที่สงบสงัดเพื่อทำใจให้สงบ ตรองหาแห่งใดที่จะไปหาความสงบใจได้ไม่มี  มานึกถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ว่าท่านคงจะสั่งสอนให้คลายทุกข์ได้ เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน จึงจัดแจงครองผ้าไตรจีวร แล้วเดินทางข้ามฟากไปยังวัดระฆังโฆสิตาราม  พอเข้าเขตวัด และเห็นกุฏิสมเด็จ จึงเดินตรงเข้าไปหา พบว่าสมเด็จฯ ออกมานั่งอยู่ที่พื้นหญ้าหน้ากุฏิ  อาจารย์เทศจึงลดผ้าคลุมไหล่ลง เป็นห่มเฉวียงไหล่ ทำใจให้กล้าหาญตรงเข้าไปหมอบอยู่ตรงหน้าท่าน แล้วกราบท่านด้วยเบญจางคประดิษฐ์ สมเด็จฯ ยกมือประคองอัญชลีรับไหว้ แล้วถามว่า
“คุณเป็นใคร มาจากสำนักไหน...”
“กระผมภิกษุเทศ มาจากวัดชนะสงคราม ขอรับ”
“อ้อ มีธุระอะไรหรือ...”
“กระผมไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว พยายามบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่สงบลงได้ ฟุ้งซ่านจนเกือบจะร้อนผ้าเหลือง ขอกราบเท้าใต้เท้าประทานโอวาทสักเล็กน้อย เพื่อทำใจให้สงบ...”
“อ้อ อยากสบาย ก็ทำเสียอย่างหมาซีจ๊ะ”
เมื่อเห็นพระภิกษุเทศนิ่งงง จึงกล่าวต่อไปว่า
“เข้าใจไหมจ๊ะ ธรรมดาหมา เมื่อมันกัดกันขึ้นแล้ว ถ้าตัวไหนทำแพ้ยอมนอนหงายท้องเสียปล่อยให้เจ้าตัวชนะขึ้นคร่อมอยู่ข้างบนให้มันคำรามเสียก็หมดเรื่อง...”
“กระผมจะขอปฏิบัติตามโอวาทของพระเดชพระคุณตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...”
พระภิกษุเทศกลับวัดแล้ว เล่าให้โยมอุปัฏฐากฟัง
“อัศจรรย์แท้ๆ สมเด็จฯ ท่านพูดเหมือนกับรู้ว่าอาตมาเกิดเรื่องทะเลาะกับพระอุดมญาณผิดใจกันขึ้น...”
เรื่องนี้สมเด็จท่านน่าจะทราบเสียด้วยว่า พระภิกษุเทศกำลังเดินทางมาหาทาน ท่านจึงลงมานั่งคอยอยู่ที่พื้นหญ้าหน้ากุฏิ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


อุตตริมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน นั่งลงยกมือไหว้ว่า สาธุ

นั่งลงยกมือไหว้สาธุ
วันหนึ่งท่านเดินทางไปยังวัดชนะสงคราม พบพระกำลังสวดตลกคะนองกันอยู่ ท่านจึงเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงยกมือไหว้ ประนมมือ แล้วร้องว่า “สาธุ สาธุ สาธุ...”

เป็นผลให้ พระกลุ่มนั้นเลิกสวดทันที

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรม ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วย


ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วย
วันหนึ่งพระภิกษุสององค์เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง องค์หนึ่งว่า “พ่อไม่กลัวมึง...” อีกองค์หนึ่งก็พูดอย่างโทสะแรงกล้าว่า “พ่อไม่กลัวมึง...” ต่างก็ตะโกนท้าทายกัน ลืมตัวว่าอยู่ในสมณเพศด้วยโทสะหน้ามืด  สมเด็จฯ ท่านได้ยินเสียงดัง โผล่หน้าต่างออกมาฟังแล้วก็ลงมาจากกุฏิ ในมือท่านถือดอกไม้ธูปเทียน เข้าไปหาพระภิกษุสองรูปนั้น นั่งลงต่อหน้าพระทั้งสองรูปนั่น ยกมือขึ้นประนม แล้วกล่าวว่า
“พ่อเจ้าประคู้น ผมขอฝากตัวกับพ่อด้วย ผมเห็นแล้วว่าเจ้าประคุณเก่งจริงๆ นึกว่าเอ็นดูผมเถิดฯ”

เป็นผลให้พระสงฆ์สององค์นั้นตกใจมาก กลัวว่าจะอาเพศอายุสั้นที่สมเด็จฯ มายกมือไหว้ แล้วกลับไปบนกุฏิเอาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาโทษผิด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สอนพระเตะตะกร้อ





สอนพระเตะตะกร้อ
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น พระภิกษุยังประพฤติย่อหย่อนวินัยมาก เพราะเพิ่งพ้นสงครามพม่ามาไม่นาน  เมื่อสุนทรภู่เดินทางไปสุพรรณบุรี ใน พ.ศ. ๒๓๘๔ ท่านเล่าไว้ในนิราศสุพรรณ ว่า พระเล่นไก่ พอไก่แพ้ก็จับไก่ฟาดหัวจนตาย แล้วภายหลังพระองค์นั้นไปต่อนกเขาในป่า ไปถูกเสือกัดตาย นี่คือพระภิกษุเล่นตีไก่ และต่อนกเขา  เล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้น มีพระไปรับบิณฑบาตในวัง ระหว่างที่ยืนรอบิณฑบาตนั้น ท่านก็เอาตะกร้อมาเตะเล่นกัน มีราชบุรุษไปกราบทูลพระนั่งเกล้า แต่พระนั่งเกล้ามีความเคารพพระสงฆ์มาก จึงตรัสว่า “เจ้ากูเมื่อยขบ จะเตะตะกร้อออกกำลังมั่งก็ชั่งเจ้ากูเถิด...”
วันหนึ่งสมเด็จเดินไปพบพระภิกษุหมู่หนึ่ง กำลังล้อมวงเตะตะกร้อกันอยู่ จึงเข้าไปนั่งยองๆ ดูการเตะตะกร้อ แล้วถามว่า
“ลูกไหนเตะยากที่สุด ลูกแป ลูกไขว้ ลูกไหล่ ลูกเข่า ลูกโหม่ง ลูกศอก...”
พระบางองค์ก็พาซื่อ ตอบว่า ลูกไขว้เล่นยากที่สุด
“หัดกันมานานแล้วหรือขอรับ...”
นับแต่วันนั้นมา พระเหล่านั้นเลิกเล่นเตะตะกร้อ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)