วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน คำพยากรณ์ ๑๐ แผ่นดิน


คำพยากรณ์ ๑๐ แผ่นดิน
เมื่อสมเด็จฯ มรณภาพแล้ว มีการรื้อที่นอนของท่าน ปรากฏว่าใต้เสื่อปูนอนมีกระดาษเขียนไว้แผ่นหนึ่งมีข้อความว่า
๑.   มหากาฬ
๒.   พาลยักษ์
๓.   รักบัณฑิต
๔.  สนิทธรรม
๕.  จำแขนขาด
                                           ๖.   ราชโจร
๗.  ชนร้องทุกข์
                                                               ๘.  ยุคทมิฬ
                                           ๙.  ถิ่นกาขาว
๑๐   ชาวศรีวิไล
บัณฑิตที่พบเห็นข้อความนี้ จึงเข้าใจว่าเป็นคำพยากรณ์แผ่นดิน ที่สมเด็จท่านได้อนาคตังสญาณ มองเห็นอดีต อนาคตได้ จึงจดจำคำพยากรณ์แผ่นดินไว้เช่นนั้น

๑.   แผ่นดินที่ ๑ เป็นยุคสงครามไทยรบพม่า
๒.   แผ่นดินที่ ๒ มีการฆ่าเจ้านายและขุนนางมากกว่า ๔๐ คน มีกรมขุนกษัตรานุชิต ต้องหาว่าเป็นหัวหน้ากบฏพร้อมด้วยพระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณ พระราชบุตรพระราชธิดาของพระเจ้าตากสินมหาราช
๓.   แผ่นดินที่ ๓ มีการสร้างวัดวาอารามมากมาย
๔.  แผ่นดินที่ ๔ พระราชาทรงผนวชมานานถึง ๒๗ พรรษา
๕.  แผ่นดินที่ ๕ เสียดินแดนมากมาย แผ่นดินที่เสียไปมากกว่าที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ จนบางท่านคาดคิดว่าพระมหาจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเป็นพระจุลจอมเกล้าฯ ที่จำต้องตัดแขนเพื่อรักษาชีวิตชาติไว้ คือเสียแผ่นดิน
๖.   แผ่นดินที่ ๖ พระราชาทรงเป็นศิลปิน ทรงเล่นละครเอง และทรงแจกพระราชทรัพย์ให้แก่เสนาอำมาตย์มากมาย
๗.  แผ่นดินที่ ๗ คณะราษฎร์ยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน
๘.  แผ่นดินที่ ๘ พระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่ปกครองแผ่นดิน
๙.  แผ่นดินที่ ๙ มีพวกฝรั่งมาอยู่ในเมืองไทยมากมายนับแสนคนหลังสงครามโลก
@Q        แผ่นดินที่ ๑๐ เมืองไทยน่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า

พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า
คราวหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๓ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดผ้ากฐินที่วัดระฆัง สมเด็จท่านเอาผ้าพันเท้าทั้งสองข้าง มานั่งรับผ้ากฐินในอุโบสถ พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า พันทำไม สมเด็จทูลว่า ต่อไปเสนาอำมาตย์จะต้องทำเช่นนี้

ต่อมามีการปฏิวัติประเพณีการแต่งกาย ให้มีการสวมถุงเท้า ที่เรียกว่า สวมถุงน่องรองเท้ากัน สมคำพยากรณ์ของท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ก่อเจดีย์ทรายที่วัดระฆัง

ก่อเจดีย์ทรายที่วัดระฆัง
สมัยโบราณเรื่องก่อเจดีย์ทรายในวัด เป็นงานอย่างหนึ่งทำสืบมาแต่สมัยพระพุทธกาล ที่ท่านเล่ายากจกสองผัวเมีย ไม่มีทรัพย์สร้างพระเจดีย์ จึงเอาทรายมาก่อเป็นเจดีย์ที่ชายหาด อุทิศกุศลถวายแก่พระพุทธเจ้า ครั้นตายไปเกิดในสวรรค์ด้วยแรงศรัทธานั้น จึงมีธรรมเนียมก่อเจดีย์ทรายในวัดเรื่อยมา เป็นการขนทรายถมวัดไปด้วย  ที่วัดระฆัง จึงมีงานก่อเจดีย์ทราย วันนั้นมีเมฆมืดครึ้ม ฝนจะตก คนจึงไปบอกสมเด็จ ท่านก็แหงนดูบนฟ้า พร้อมกับโบกมือว่า
“ไปตกที่อื่นๆ ...”

น่าประหลาดที่วันนั้น ฝนไปตกที่อื่น ไม่ตกในบริเวณวัดระฆัง จึงเชื่อกันว่าสมเด็จท่านห้ามฝนได้ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุคตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต ) ตอน ไปนมัสการพระพุทธบาท

ไปนมัสการพระพุทธบาท
พระพุทธบาทที่เขาสัจจขันธ์คีรี จังหวัดสระบุรีนั้น พบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม เล่ากันว่าเมื่อพระสงฆ์ไทยไปศรีลังกา ไปนมัสการพระพุทธบาทเมืองนั้น พระสงฆ์ในศรีลังกาบอกว่าในประเทศสยามก็มีอยู่ที่เขาสัจจขันธ์คีรี  เมื่อพระสงฆ์ไทยกลับมาจึงกราบทูลพระเจ้าทรงธรรม จึงโปรดให้ค้นหา พบที่เขาในจังหวัดสระบุรี จึงทำมณฑปครอบไว้ ยอดมณฑปทำด้วยทองคำ  เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พวกจีนไปเผามณฑป เอาทองมาขายเสีย แต่พุทธศาสนิกชนก็ซ่อมแซมใหม่เรื่อยมา นิยมไปนมัสการกัน พ ระภิกษุพระสุนทรโวหารภู่ก็ไปนมัสการ พระปิ่นเกล้าฯ พระจอมเกล้าฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ไปนมัสการกันทั้งนั้น  สมเด็จพระพุฒาจารย์โต จึงไปนมัสการโดยทางเรือ  เมื่อไปถึงลานเท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดลมพายุพัดแรงจัด เจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) ในสมัยเป็นสามเณรไปด้วย จึงเรียนถามท่านว่า “จะทำอย่างไรดีหลวงพ่อ...” สมเด็จตอบว่า “ไม่เป็นไร” ว่าแล้วจึงหยิบเอาเทียนจากย่ามมา ๑ เล่ม แล้วจุดขึ้นปักเทียนลงกลางโอ (เครื่องเขินชนิดหนึ่ง สานด้วยไม้ไผ่ยาด้วยครั่ง รูปร่างคล้ายขัน แต่มีน้ำหนักเบา) แล้วลอยโอนั้นไปในน้ำ  น่าอัศจรรย์ที่โอนั้นลอยนำหน้าเรือไป คลื่นลมก็สงบ  เรื่องนี้เจ้าคุณธรรมกิตติ (ละมูล) เล่าว่าเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) เล่าให้ฟัง
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ปฎิสัมภิทาญาณ

ปฏิสัมภิทาญาณ
พระอริยสาวกในสมัยพุทธกาลนั้น แบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
๑.   ปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉาน ๔ ประการ
๒.   ฉฬาภิญญา ได้อภิญญา ๖
๓.   ตีวิชชา ได้วิชชาสาม
๔.  เจโตวิมุติ รู้จิตเจตนาของคนอื่น สัตว์อื่น
๕.  สุกวิปัสสิโก แจ่มแจ้งในปัญญา
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านมิใช่พระอรหันต์แน่ เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ แต่ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณ คือแตกฉาน ๔ ประการ ได้แก่
๑.   อัตถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ คือเรื่องราว
๒.   ธรรมปฏิสัมภิทา แตกฉานในธรรม คือความจริง
๓.   นิรุกติปฏิสัมภิทา แตกฉานในรากเหง้าของภาษา
๔.  ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานในถ้อยคำที่พูดจาโต้ตอบกัน
ตัวอย่างคือคราวหนึ่ง ท่านไปเทศน์คู่ในวังกับพระธรรมอุดม ท่านพูดว่า การทำบุญทำทานต้องทำด้วยความเคารพในการทำทาน เริ่มต้นด้วยการทำครัวต้องล้างไม้ล้างมือให้สะอาดเสียก่อน  พระธรรมอุดมถามว่า ล้างมือนั้นเข้าใจ แต่ล้างไม้นี่ล้างอย่างไร
สมเด็จท่านตอบทันทีว่า “ก็ล้างกะจ่าไง ล้างจวักตักข้าว”
พวกชาววังก็หัวร่อกัน นี่แสดงว่าท่านแตกฉานในปฏิภาณคือการโต้ตอบ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน เสกก้อนหิน ๓ ก้อน

เสกก้อนหิน ๓ ก้อน
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเสกก้อนหิน ๓ ก้อน เขียนยันต์ ๓ อย่าง
๑.ก้อนที่หนึ่ง เขียนยันต์มหาอุจจ์ เอาไปใส่ไว้ในสระหลังวัด
๒.ก้อนที่สอง เขียนยันต์มหานิยม เอาไปใส่ไว้ในสระกลางวัด
๓.ก้อนที่สาม เขียนยันต์มหาลาภ เอาไปทิ้งไว้หน้าวัด ใครอยากมีลาภให้ไปตักน้ำหน้าวัดระฆังเวลาตักน้ำให้ตักตอนน้ำขึ้น หันหน้าไปทางทิศอุดร
เรื่องนี้ภายหลังพระพุทธบาทปิลันธน์ (พระภิกษุหม่อมเจ้าทัด เสนีย์วงศ์) ลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่านได้สร้างพระรูปสมเด็จกำลังภาวนา ด้านหลังมียันต์มหาลาภนี้ และพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ด้านหลังมีคำว่า พูน ทวี ลาภ ผล บางองค์เขียนยันต์ว่า มหาลาภ ใครเลื่อมใสศรัทธา อาราธนาติดตัว จะมีลาภผลเสมอ ตามกำลังบุญวาสนา และตามศรัทธาของตน ให้อธิษฐานเอาเอง
เรื่องอำนาจของการอธิษฐานนี้ มีกำลังอันมหัศจรรย์ ทำอะไรท่านอธิษฐานเสมอว่ามีความปรารถนาสิ่งใด อย่าทำอะไรเลื่อนลอย ให้อธิษฐานเสมอ เหมือนตั้งจิตปรารถนาไว้ ย่อมบรรลุผลตามปรารถนาเสมอ แม้ไม่สำเร็จใน ๗ วัน ก็สำเร็จใน ๗ เดือน ไม่สำเร็จใน ๗ เดือน ก็สำเร็จใน ๗ ปี แม้ไม่สำเร็จใน ๗ ปี ก็จะสำเร็จใน ๗ ชาติ ไม่ว่าอธิษฐานขอเป็นเศรษฐี ขอเป็นพระราชาขอเป็นพระอรหันต์ ย่อมสำเร็จตามบุญวาสนา ตามแรงอธิษฐานนั้น  แรงอธิษฐานเป็นบารมีอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา แม้พระพุทธเจ้าที่สำเร็จพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะทางอธิษฐานไว้แต่ชาติปางก่อนหลายร้อยชาติมาแล้ว  พระอรหันต์ทุกองค์ล้วนแต่เคยอธิษฐานมาแล้วในชาติปางก่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เป็นพระอรหันต์ได้เอง ทุกผู้ทุกคนย่อมเป็นไปตามจิตปรารถนา ไม่เร็วก็ช้าทุกคนไม่มีเว้นเลย

ตัวอย่างที่เล่ามานี้ คือเรื่องการกระทำสัจกิริยาขอถึงพระนิพพานหรือพูดตามภาษาสูงที่ไพเราะว่า การตั้งสัตยาธิษฐานขอถึงพระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิษฐานก่อนเป็นองค์แรกเมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพระนิพพาน  การกระทำสัจกิริยาขอถึงพระนิพพาน จึงเป็นประเพณีของชาวพุทธแต่ไหนแต่ไรมา พระอริยสาวกทุกองค์ ล้วนแต่กระทำสัจกิริยาขอถึงพระนิพพานทุกองค์
ชาวพุทธทุกคนเมื่อทำบุญทำทานสิ่งใด มักจะกระทำสัตยาธิษฐานขอถึงพระนิพพาน อันเป็นบุญสูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา
เมื่อทำบุญตักบาตร พุทธศาสนิกชน จะอธิษฐานว่า
“อิทัง ทานัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ...”
ขอผลทานนี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาลเทอญ

คำอธิษฐานนี้เราจะได้ยินชนชั้นปู่ย่าตายาย อธิษฐานกันมามากแล้ว บางคนมักจะพูดว่า ทำบุญนิดเดียว อธิษฐานเอามากมาย เป็นการค้ากำไรเกินควร  มันมิใช่เช่นนั้นดอก เพียงแต่ท่านปฏิบัติตามประเพณีของชาวพุทธเท่านั้น คือเป็นการสะสมบุญไว้ทีละน้อย เหมือนสะสมเงินสลึงไว้เป็นเงินบาท สะสมเงินบาทไว้เป็นเงินร้อยบาท สะสมเงิน ๑๐๐ บาทไว้เป็นเงินพันบาท หมื่นบาท แสนบาท ล้านบาท เพราะสิ่งใหญ่มาจากสิ่งน้อย  ท่านพูดว่าอย่าประมาทบุญว่าน้อย อย่าประมาทบาปว่าเล็กน้อย อย่าประมาทไฟว่าน้อย อย่าประมาทน้ำว่าน้อย หมั่นสะสมย่อมมากได้ เพราะจะต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน วันหนึ่งในล้านปีข้างหน้า เราอาจได้บรรลุพระนิพพาน  การทำสัตยาธิษฐาน จึงเป็นประเพณีของชาวพุทธ พระโพธิสัตว์ ล้วนแต่ต้องตั้งจิตปรารถนาคือกระทำสัตยาธิษฐานมาแล้วทุกองค์ จึงไม่ต้องสงสัยว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ จะไม่กระทำสัตยาธิษฐาน
แม้พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อบรรพชาอยู่ ก็ทรงอธิษฐานหลายครั้ง ครั้งหนึ่งทรงอธิษฐานว่า ถ้าสมณศากยวงศ์ยังไม่สิ้นไปจากเมืองไทย ขอให้ได้พบภายใน ๓ วัน ๗ วัน มิฉะนั้นจะถือว่าศากยวงศ์สิ้นแล้ว จะลาสิกขาออกไปถือศีล ๘  ได้พบพระสุเมธาจารย์วัดศรีสุดาราม ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวมอญจึงได้บวชในสำนักของพระสุเมธาจารย์ในพัทธสีมาแม่น้ำหน้าวัดราชาธิวาสตั้งคณะธรรมยุติกนิกายขึ้น
ถึงพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ท่านก็ทรงอธิษฐานว่า
ข้าพเจ้าตั้งใจจะบวชในพระพุทธศาสนา ถ้ามีบุญจะได้บวชแล้ว ขอให้พระภิกษุกรมหลวงวชิรญาณวงศ์หายประชวร เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ถ้าไม่มีบุญจะได้บวช ก็จะไม่บวช  ต้องการให้กรมหลวงวชิรญาณวงศ์เป็นอุปัชฌาย์ให้เพียงองค์เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีกรมหลวงวชิรญาณวงศ์เป็นอุปัชฌาย์ให้ ก็จะไม่บวช  ครั้นกราบพระตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว ก็เสด็จไปวัดบวรนิเวศ ให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปทูลว่าจะเสด็จไปเยี่ยม  ม.ร.ว.กฤทธิ์ ปราโมช ก็ไปหากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พบท่านกำลังบรรทมอยู่ จึงก้มลงทูลดังๆ ที่พระกรรณว่า “พระเจ้าอยู่หัวมา” กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ก็ลืมพระเนตรขึ้น ตรัสว่า
“กูกำลังจะไปอยู่แล้ว...” แล้วลุกขึ้นห่มไตรจีวรเรียบร้อย นั่งรอรับเสด็จอยู่
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปนมัสการ ทูลว่าจะบวช ขอให้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ด้วย กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ก็หายประชวร แล้วเป็นพระอุปัชฌาย์ให้เรียบร้อย
อีกสองปีต่อมา ท่านจึงสิ้นพระชนม์  นี่คือผลของการตั้งสัตยาธิษฐาน มีผลอย่างอัศจรรย์อย่างนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)