วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน คำพยากรณ์ ๑๐ แผ่นดิน


คำพยากรณ์ ๑๐ แผ่นดิน
เมื่อสมเด็จฯ มรณภาพแล้ว มีการรื้อที่นอนของท่าน ปรากฏว่าใต้เสื่อปูนอนมีกระดาษเขียนไว้แผ่นหนึ่งมีข้อความว่า
๑.   มหากาฬ
๒.   พาลยักษ์
๓.   รักบัณฑิต
๔.  สนิทธรรม
๕.  จำแขนขาด
                                           ๖.   ราชโจร
๗.  ชนร้องทุกข์
                                                               ๘.  ยุคทมิฬ
                                           ๙.  ถิ่นกาขาว
๑๐   ชาวศรีวิไล
บัณฑิตที่พบเห็นข้อความนี้ จึงเข้าใจว่าเป็นคำพยากรณ์แผ่นดิน ที่สมเด็จท่านได้อนาคตังสญาณ มองเห็นอดีต อนาคตได้ จึงจดจำคำพยากรณ์แผ่นดินไว้เช่นนั้น

๑.   แผ่นดินที่ ๑ เป็นยุคสงครามไทยรบพม่า
๒.   แผ่นดินที่ ๒ มีการฆ่าเจ้านายและขุนนางมากกว่า ๔๐ คน มีกรมขุนกษัตรานุชิต ต้องหาว่าเป็นหัวหน้ากบฏพร้อมด้วยพระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณ พระราชบุตรพระราชธิดาของพระเจ้าตากสินมหาราช
๓.   แผ่นดินที่ ๓ มีการสร้างวัดวาอารามมากมาย
๔.  แผ่นดินที่ ๔ พระราชาทรงผนวชมานานถึง ๒๗ พรรษา
๕.  แผ่นดินที่ ๕ เสียดินแดนมากมาย แผ่นดินที่เสียไปมากกว่าที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ จนบางท่านคาดคิดว่าพระมหาจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเป็นพระจุลจอมเกล้าฯ ที่จำต้องตัดแขนเพื่อรักษาชีวิตชาติไว้ คือเสียแผ่นดิน
๖.   แผ่นดินที่ ๖ พระราชาทรงเป็นศิลปิน ทรงเล่นละครเอง และทรงแจกพระราชทรัพย์ให้แก่เสนาอำมาตย์มากมาย
๗.  แผ่นดินที่ ๗ คณะราษฎร์ยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน
๘.  แผ่นดินที่ ๘ พระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่ปกครองแผ่นดิน
๙.  แผ่นดินที่ ๙ มีพวกฝรั่งมาอยู่ในเมืองไทยมากมายนับแสนคนหลังสงครามโลก
@Q        แผ่นดินที่ ๑๐ เมืองไทยน่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า

พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า
คราวหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๓ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดผ้ากฐินที่วัดระฆัง สมเด็จท่านเอาผ้าพันเท้าทั้งสองข้าง มานั่งรับผ้ากฐินในอุโบสถ พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า พันทำไม สมเด็จทูลว่า ต่อไปเสนาอำมาตย์จะต้องทำเช่นนี้

ต่อมามีการปฏิวัติประเพณีการแต่งกาย ให้มีการสวมถุงเท้า ที่เรียกว่า สวมถุงน่องรองเท้ากัน สมคำพยากรณ์ของท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ก่อเจดีย์ทรายที่วัดระฆัง

ก่อเจดีย์ทรายที่วัดระฆัง
สมัยโบราณเรื่องก่อเจดีย์ทรายในวัด เป็นงานอย่างหนึ่งทำสืบมาแต่สมัยพระพุทธกาล ที่ท่านเล่ายากจกสองผัวเมีย ไม่มีทรัพย์สร้างพระเจดีย์ จึงเอาทรายมาก่อเป็นเจดีย์ที่ชายหาด อุทิศกุศลถวายแก่พระพุทธเจ้า ครั้นตายไปเกิดในสวรรค์ด้วยแรงศรัทธานั้น จึงมีธรรมเนียมก่อเจดีย์ทรายในวัดเรื่อยมา เป็นการขนทรายถมวัดไปด้วย  ที่วัดระฆัง จึงมีงานก่อเจดีย์ทราย วันนั้นมีเมฆมืดครึ้ม ฝนจะตก คนจึงไปบอกสมเด็จ ท่านก็แหงนดูบนฟ้า พร้อมกับโบกมือว่า
“ไปตกที่อื่นๆ ...”

น่าประหลาดที่วันนั้น ฝนไปตกที่อื่น ไม่ตกในบริเวณวัดระฆัง จึงเชื่อกันว่าสมเด็จท่านห้ามฝนได้ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุคตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต ) ตอน ไปนมัสการพระพุทธบาท

ไปนมัสการพระพุทธบาท
พระพุทธบาทที่เขาสัจจขันธ์คีรี จังหวัดสระบุรีนั้น พบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม เล่ากันว่าเมื่อพระสงฆ์ไทยไปศรีลังกา ไปนมัสการพระพุทธบาทเมืองนั้น พระสงฆ์ในศรีลังกาบอกว่าในประเทศสยามก็มีอยู่ที่เขาสัจจขันธ์คีรี  เมื่อพระสงฆ์ไทยกลับมาจึงกราบทูลพระเจ้าทรงธรรม จึงโปรดให้ค้นหา พบที่เขาในจังหวัดสระบุรี จึงทำมณฑปครอบไว้ ยอดมณฑปทำด้วยทองคำ  เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พวกจีนไปเผามณฑป เอาทองมาขายเสีย แต่พุทธศาสนิกชนก็ซ่อมแซมใหม่เรื่อยมา นิยมไปนมัสการกัน พ ระภิกษุพระสุนทรโวหารภู่ก็ไปนมัสการ พระปิ่นเกล้าฯ พระจอมเกล้าฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ไปนมัสการกันทั้งนั้น  สมเด็จพระพุฒาจารย์โต จึงไปนมัสการโดยทางเรือ  เมื่อไปถึงลานเท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดลมพายุพัดแรงจัด เจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) ในสมัยเป็นสามเณรไปด้วย จึงเรียนถามท่านว่า “จะทำอย่างไรดีหลวงพ่อ...” สมเด็จตอบว่า “ไม่เป็นไร” ว่าแล้วจึงหยิบเอาเทียนจากย่ามมา ๑ เล่ม แล้วจุดขึ้นปักเทียนลงกลางโอ (เครื่องเขินชนิดหนึ่ง สานด้วยไม้ไผ่ยาด้วยครั่ง รูปร่างคล้ายขัน แต่มีน้ำหนักเบา) แล้วลอยโอนั้นไปในน้ำ  น่าอัศจรรย์ที่โอนั้นลอยนำหน้าเรือไป คลื่นลมก็สงบ  เรื่องนี้เจ้าคุณธรรมกิตติ (ละมูล) เล่าว่าเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) เล่าให้ฟัง
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ปฎิสัมภิทาญาณ

ปฏิสัมภิทาญาณ
พระอริยสาวกในสมัยพุทธกาลนั้น แบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
๑.   ปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉาน ๔ ประการ
๒.   ฉฬาภิญญา ได้อภิญญา ๖
๓.   ตีวิชชา ได้วิชชาสาม
๔.  เจโตวิมุติ รู้จิตเจตนาของคนอื่น สัตว์อื่น
๕.  สุกวิปัสสิโก แจ่มแจ้งในปัญญา
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านมิใช่พระอรหันต์แน่ เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ แต่ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณ คือแตกฉาน ๔ ประการ ได้แก่
๑.   อัตถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ คือเรื่องราว
๒.   ธรรมปฏิสัมภิทา แตกฉานในธรรม คือความจริง
๓.   นิรุกติปฏิสัมภิทา แตกฉานในรากเหง้าของภาษา
๔.  ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานในถ้อยคำที่พูดจาโต้ตอบกัน
ตัวอย่างคือคราวหนึ่ง ท่านไปเทศน์คู่ในวังกับพระธรรมอุดม ท่านพูดว่า การทำบุญทำทานต้องทำด้วยความเคารพในการทำทาน เริ่มต้นด้วยการทำครัวต้องล้างไม้ล้างมือให้สะอาดเสียก่อน  พระธรรมอุดมถามว่า ล้างมือนั้นเข้าใจ แต่ล้างไม้นี่ล้างอย่างไร
สมเด็จท่านตอบทันทีว่า “ก็ล้างกะจ่าไง ล้างจวักตักข้าว”
พวกชาววังก็หัวร่อกัน นี่แสดงว่าท่านแตกฉานในปฏิภาณคือการโต้ตอบ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน เสกก้อนหิน ๓ ก้อน

เสกก้อนหิน ๓ ก้อน
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเสกก้อนหิน ๓ ก้อน เขียนยันต์ ๓ อย่าง
๑.ก้อนที่หนึ่ง เขียนยันต์มหาอุจจ์ เอาไปใส่ไว้ในสระหลังวัด
๒.ก้อนที่สอง เขียนยันต์มหานิยม เอาไปใส่ไว้ในสระกลางวัด
๓.ก้อนที่สาม เขียนยันต์มหาลาภ เอาไปทิ้งไว้หน้าวัด ใครอยากมีลาภให้ไปตักน้ำหน้าวัดระฆังเวลาตักน้ำให้ตักตอนน้ำขึ้น หันหน้าไปทางทิศอุดร
เรื่องนี้ภายหลังพระพุทธบาทปิลันธน์ (พระภิกษุหม่อมเจ้าทัด เสนีย์วงศ์) ลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่านได้สร้างพระรูปสมเด็จกำลังภาวนา ด้านหลังมียันต์มหาลาภนี้ และพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ด้านหลังมีคำว่า พูน ทวี ลาภ ผล บางองค์เขียนยันต์ว่า มหาลาภ ใครเลื่อมใสศรัทธา อาราธนาติดตัว จะมีลาภผลเสมอ ตามกำลังบุญวาสนา และตามศรัทธาของตน ให้อธิษฐานเอาเอง
เรื่องอำนาจของการอธิษฐานนี้ มีกำลังอันมหัศจรรย์ ทำอะไรท่านอธิษฐานเสมอว่ามีความปรารถนาสิ่งใด อย่าทำอะไรเลื่อนลอย ให้อธิษฐานเสมอ เหมือนตั้งจิตปรารถนาไว้ ย่อมบรรลุผลตามปรารถนาเสมอ แม้ไม่สำเร็จใน ๗ วัน ก็สำเร็จใน ๗ เดือน ไม่สำเร็จใน ๗ เดือน ก็สำเร็จใน ๗ ปี แม้ไม่สำเร็จใน ๗ ปี ก็จะสำเร็จใน ๗ ชาติ ไม่ว่าอธิษฐานขอเป็นเศรษฐี ขอเป็นพระราชาขอเป็นพระอรหันต์ ย่อมสำเร็จตามบุญวาสนา ตามแรงอธิษฐานนั้น  แรงอธิษฐานเป็นบารมีอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา แม้พระพุทธเจ้าที่สำเร็จพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะทางอธิษฐานไว้แต่ชาติปางก่อนหลายร้อยชาติมาแล้ว  พระอรหันต์ทุกองค์ล้วนแต่เคยอธิษฐานมาแล้วในชาติปางก่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เป็นพระอรหันต์ได้เอง ทุกผู้ทุกคนย่อมเป็นไปตามจิตปรารถนา ไม่เร็วก็ช้าทุกคนไม่มีเว้นเลย

ตัวอย่างที่เล่ามานี้ คือเรื่องการกระทำสัจกิริยาขอถึงพระนิพพานหรือพูดตามภาษาสูงที่ไพเราะว่า การตั้งสัตยาธิษฐานขอถึงพระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิษฐานก่อนเป็นองค์แรกเมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพระนิพพาน  การกระทำสัจกิริยาขอถึงพระนิพพาน จึงเป็นประเพณีของชาวพุทธแต่ไหนแต่ไรมา พระอริยสาวกทุกองค์ ล้วนแต่กระทำสัจกิริยาขอถึงพระนิพพานทุกองค์
ชาวพุทธทุกคนเมื่อทำบุญทำทานสิ่งใด มักจะกระทำสัตยาธิษฐานขอถึงพระนิพพาน อันเป็นบุญสูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา
เมื่อทำบุญตักบาตร พุทธศาสนิกชน จะอธิษฐานว่า
“อิทัง ทานัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ...”
ขอผลทานนี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาลเทอญ

คำอธิษฐานนี้เราจะได้ยินชนชั้นปู่ย่าตายาย อธิษฐานกันมามากแล้ว บางคนมักจะพูดว่า ทำบุญนิดเดียว อธิษฐานเอามากมาย เป็นการค้ากำไรเกินควร  มันมิใช่เช่นนั้นดอก เพียงแต่ท่านปฏิบัติตามประเพณีของชาวพุทธเท่านั้น คือเป็นการสะสมบุญไว้ทีละน้อย เหมือนสะสมเงินสลึงไว้เป็นเงินบาท สะสมเงินบาทไว้เป็นเงินร้อยบาท สะสมเงิน ๑๐๐ บาทไว้เป็นเงินพันบาท หมื่นบาท แสนบาท ล้านบาท เพราะสิ่งใหญ่มาจากสิ่งน้อย  ท่านพูดว่าอย่าประมาทบุญว่าน้อย อย่าประมาทบาปว่าเล็กน้อย อย่าประมาทไฟว่าน้อย อย่าประมาทน้ำว่าน้อย หมั่นสะสมย่อมมากได้ เพราะจะต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน วันหนึ่งในล้านปีข้างหน้า เราอาจได้บรรลุพระนิพพาน  การทำสัตยาธิษฐาน จึงเป็นประเพณีของชาวพุทธ พระโพธิสัตว์ ล้วนแต่ต้องตั้งจิตปรารถนาคือกระทำสัตยาธิษฐานมาแล้วทุกองค์ จึงไม่ต้องสงสัยว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ จะไม่กระทำสัตยาธิษฐาน
แม้พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อบรรพชาอยู่ ก็ทรงอธิษฐานหลายครั้ง ครั้งหนึ่งทรงอธิษฐานว่า ถ้าสมณศากยวงศ์ยังไม่สิ้นไปจากเมืองไทย ขอให้ได้พบภายใน ๓ วัน ๗ วัน มิฉะนั้นจะถือว่าศากยวงศ์สิ้นแล้ว จะลาสิกขาออกไปถือศีล ๘  ได้พบพระสุเมธาจารย์วัดศรีสุดาราม ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวมอญจึงได้บวชในสำนักของพระสุเมธาจารย์ในพัทธสีมาแม่น้ำหน้าวัดราชาธิวาสตั้งคณะธรรมยุติกนิกายขึ้น
ถึงพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ท่านก็ทรงอธิษฐานว่า
ข้าพเจ้าตั้งใจจะบวชในพระพุทธศาสนา ถ้ามีบุญจะได้บวชแล้ว ขอให้พระภิกษุกรมหลวงวชิรญาณวงศ์หายประชวร เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ถ้าไม่มีบุญจะได้บวช ก็จะไม่บวช  ต้องการให้กรมหลวงวชิรญาณวงศ์เป็นอุปัชฌาย์ให้เพียงองค์เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีกรมหลวงวชิรญาณวงศ์เป็นอุปัชฌาย์ให้ ก็จะไม่บวช  ครั้นกราบพระตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว ก็เสด็จไปวัดบวรนิเวศ ให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปทูลว่าจะเสด็จไปเยี่ยม  ม.ร.ว.กฤทธิ์ ปราโมช ก็ไปหากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พบท่านกำลังบรรทมอยู่ จึงก้มลงทูลดังๆ ที่พระกรรณว่า “พระเจ้าอยู่หัวมา” กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ก็ลืมพระเนตรขึ้น ตรัสว่า
“กูกำลังจะไปอยู่แล้ว...” แล้วลุกขึ้นห่มไตรจีวรเรียบร้อย นั่งรอรับเสด็จอยู่
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปนมัสการ ทูลว่าจะบวช ขอให้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ด้วย กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ก็หายประชวร แล้วเป็นพระอุปัชฌาย์ให้เรียบร้อย
อีกสองปีต่อมา ท่านจึงสิ้นพระชนม์  นี่คือผลของการตั้งสัตยาธิษฐาน มีผลอย่างอัศจรรย์อย่างนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สมเด็จทรงไตรจีวร ๓ ผืน

สมเด็จทรงไตรจีวร ๓ ผืน
สมเด็จทรงไตรจีวร ๓ ผืน คือสบง สำหรับนุ่ง จีวร สำหรับห่ม สังฆาฏิสำหรับพาดไหล่ มีผ้ารัดประคต คาดอกกันสังฆาฏิหลุด  เวลาอยู่วัดท่านจะห่มจีวรลดไหล่ เวลาออกนอกเขตวัดท่านจะมีสังฆาฏิพาดไหล่ และห่มคลุม เมื่อเข้าเขตวัด จึงลดไหล่ลงมา  ท่านห่มไตรจีวรแบบมหานิกายมาตลอด เพราะท่านบวชในคณะมหานิกายเดิมที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมัยนั้นยังไม่มีคณะธรรมยุติ วัดอินทรวิหารหรือวัดบางขุนพรหมที่เคยจำพรรษา และวัดระฆังเป็นวัดมหานิกายมาแต่เดิม  ท่านไม่เคยบวชแปลงเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกายเพื่อเอาใจพระจอมเกล้าฯ อย่าว่าแต่บวชเพื่อเอาพระทัยพระเจ้าแผ่นดินเลย ท่านกล้าขัดขวาง ท่านกล้าสอนธรรมะทางอ้อมแก่พระราชาธิราชเสียอีก จนพระจอมเกล้าฯ ทรงยกให้เป็นบาปมุติ คือไม่มีบาปไม่มีโทษ พระองค์อื่นไม่มีใครกล้าประพฤติเหมือนท่าน
สมเด็จฯ ท่านบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านประพฤติตามใจชอบของท่าน เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ แม้ทุกวันนี้ก็มีพระสมภารเจ้าวัดบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่อีกมาก คือพระสมภารตามบ้านนอกทั่วไป ต้องบำเพ็ญบารมี สงเคราะห์สัตว์ผู้ยาก ต้องเป็นที่พึ่งของเขายามทุกข์  ตัวอย่างเรื่องนี้มีไม่เฉพาะแต่พระไทยเราเท่านั้น แม้พระมอญก็ต้องปฏิบัติ เช่นพระอุตมะ พระมอญที่อพยพหนีสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาจากพม่า แทบว่าจะถูกฆ่าตายเสียหลายครั้ง มีชาวมอญมาขอของดีจากท่าน ท่านว่าไม่มีให้ดอก เขาก็จะเอาให้ได้ จึงให้เขาไปเก็บเอาก้อนกรวดมา ท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานเอาคุณพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่ง เอาความสัจจริงมาเป็นที่ตั้ง เสกก้อนกรวดแจกเขาไป พวกมอญก็เอาก้อนกรวดไปเป็นเครื่องรางรักษาตัวก็รอดปลอดภัยอันตราย  หรืออย่างพระภิกษุ พระยานรรัตน์ราชมานิต (ตรึก จินตยานน์) เมื่อพระราชปัญญาโกศล (ทองสุก ขาวผ่อง) สร้างโรงเรียนที่นครนายก สร้างเหรียญรูปของพระธัมมวิตกฺโกภิกขุ (คือพระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต) ให้ท่านปลุกเสก ท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานปลุกเสกให้ พระนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสของมหาชนมาก พระอรัญญวาสีนั้นมักไปพบชาวบ้านมาขอของดีจากท่านเสมอ ท่านจึงมักต้องประพฤติตนเป็นพระขลังด้วยการเสกพระเครื่องให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านก็เป็นพระธุดงค์เดินป่ามาก่อน ท่านจึงต้องสร้างพระเครื่องที่เรียกว่าพระสมเด็จแจกไปมากมาย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สมเด็จอาบน้ำขมิ้น

สมเด็จอาบน้ำขมิ้น
ในสมัยพระพุทธกาล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุอาบน้ำ ๑๕ วันต่อครั้ง ไม่ใช่เพราะชมพูทวีปกันดารน้ำ แต่เป็นธรรมเนียมของนักพรต นักบวช พระฤาษีชีไพร และพระภิกษุสงฆ์ ที่บำเพ็ญเพียรเพ่งฌานสมาบัติในป่า ในถ้ำ ไม่อาบน้ำทุกวัน เพราะการอาบน้ำนั้น
๑.เพื่อขัดสีฉวีวรรณให้ผ่องใส พระภิกษุไม่มีความประสงค์จะขัดสีฉวีวรรณ
๒.เกิดความกำหนัด โดยเฉพาะการอาบน้ำดำผุดำว่ายในน้ำใส โดยการเปลือยกาย
ท่านจึงอนุญาตให้ภิกษุอาบน้ำได้เพียง ๑๕ วันต่อครั้งเท่านั้น
แต่พระภิกษุฝ่ายอรัญญวาสีนั้น ท่านไม่อาบน้ำเลยก็มี ข้าพเจ้าพบมาแน่นอนองค์หนึ่งชื่อหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พระเกจิอาจารย์ชื่อโด่งดัง ท่านไม่อาบน้ำเลยตลอดปี
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านถือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอาบน้ำเพียงวันโกน คือขึ้น ๑๔ ค่ำของเดือน เมื่อปลงเกศาแล้ว ท่านอาบน้ำหนหนึ่ง น้ำที่อาบนั้นผสมผงขมิ้น ท่านเอาน้ำมาผสมผงขมิ้นอาบรดศีรษะท่าน รดราดลงมาเพื่อเอาเย็นเท่านั้น ผงขมิ้นนี้มีขาย เมื่อสมัยเด็กแม่ข้าพเจ้ามักเอาผงขมิ้นมาผสมน้ำอาบให้ข้าพเจ้าเสมอๆ โดยเฉพาะเวลาพ่อเฆี่ยนตีจนเป็นปื้นแดงๆ ตามเนื้อตัวแล้ว แม่จะเอาผงขมิ้นมาผสมน้ำทาตัวให้เป็นการรักษาแผลหรือผื่นคันด้วย
การอาบน้ำทุกวันเช้าเย็นนั้น มีผลอีกอย่างหนึ่ง คือทำให้ภูมิต้านทานในตัวลดลง โดยเฉพาะคนที่อาบน้ำว่านยานั้น ท่านจะไม่อาบน้ำทุกวัน เพียงแต่ล้างเท้า ล้างมือ ล้างหน้าเท่านั้น
โดยเฉพาะสมเด็จฯ ท่านอาบน้ำขมิ้นเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น อาบวันโกน (ปลงเกศา) ขึ้น ๑๔ ค่ำ ของทุกเดือน
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน ยาอายวัฒนะของสมเด็จ


ยาอายุวัฒนะของสมเด็จ
วันหนึ่งเข้าไปในวัง พบบุรุษชราคนหนึ่ง ชื่อนายบุญช่วย ประณีตทอง (ข้าราชการในวัง) ท่านบอกว่าท่านมีอายุ ๘๘ ปี ถามว่าทำอย่างไรจึงอายุยืนมาถึงขนาดนี้ยังแข็งแรงดี  ท่านบอกว่ากินยาอายุวัฒนะ ท่านว่าเป็นตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ผู้รับตำรามาชื่อขุนประมาณราชทรัพย์ อายุ ๘๒ ปี ท่านได้รับตำรามาชั่วที่ ๓ บัดนี้อายุ ๘๘ ปี ท่านมอบให้ข้าพเจ้าเป็นชั่วคนที่ ๔
เมื่อเอาตำรานี้ไปเจียดยาที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ หน้าวัดสามปลื้ม ผู้ขายยารู้จักยานี้เป็นอย่างดี แสดงว่าตำรายานี้แพร่หลายพอสมควร จึงนำมาเผยแพร่ต่อเป็นทาน สำหรับท่านผู้สนใจตำรายาสมุนไพรไทย  อันที่จริงก่อนที่ยาตำราฝรั่งและนายแพทย์แผนใหม่จะมาแทนที่ในปัจจุบันนี้นั้น คนไทยแต่โบราณชั้นปู่ย่าตาทวดก็รักษาโรคกันมาด้วยยาสมุนไพรตลอดมา...
ยาอายุวัฒนะ
๑.   โกฐเชียง         หนัก ๒ สลึง
๒.   โกฐเขมา         หนัก ๑ สลึง
๓.   โกฐก้านมะพร้าว        หนัก ๑ บาท ๒ สลึง
๔.  โกศกักกรา      หนัก ๒ บาท
๕.  โกศสอ           หนัก ๑ สลึง
๖.   โกศบัว           หนัก ๓ สลึง
๗.  โกศจุฬาลัมพา  หนัก ๑ บาท ๑ สลึง
๘.  โกศกระดูก      หนัก ๑ บาท ๒ สลึง
๙.  โกศน้ำเต้า       หนัก ๔ บาท
๑๐.          รากชะพลู    หนัก ๑ สลึง
๑๑.         เจตมูลเพลิง หนัก ๒ สลึง
๑๒.         ขิงแห้ง       หนัก ๑ บาท ๒ สลึง
๑๓.         กระเทียม    หนัก ๑ บาท
๑๔.        ผิวมะกรูด    หนัก ๑ บาท
๑๕.        บอระเพ็ด    หนัก ๑ บาท
๑๖.         เปลือกก้างปลาแดง        หนัก ๒ บาท
๑๗.        ใบคณฑีสอ  หนัก ๑ บาท
๑๘.        ยาดำ         หนัก ๔ บาท
๑๙.        สะค้าน       หนัก ๒ สลึง
๒๐.         ดีปลีเชือก   หนัก ๑ บาท
๒๑.         สมอไทย     หนัก ๑ บาท
๒๒.        ว่านน้ำ        หนัก ๑ บาท
๒๓.        ลูกผักชี      หนัก ๓  สลึง
๒๔.        ลูกมะตูม     หนัก ๒ บาท
๒๕.        มหาหิงส์     หนัก ๒ บาท
๒๖.         แห้วหมู       หนัก ๒ บาท
๒๗.       ส้มกุ้งทั้งสอง หนักอย่างละ ๑ บาท
๒๘.       เทียนทั้งเจ็ด หนักอย่างละ ๑ บาท
๒๙.        จันทร์ทั้งสอง หนักอย่างละ ๒ สลึง
๓๐.         มะแว้งทั้งสอง หนักอย่างละ ๒ บาท
ทั้ง ๓๐ สิ่งนี้ บดละเอียดคลุกเคล้าให้เข้ากันเก็บเอาไว้ แบ่งเฉพาะส่วนน้อยที่จะรับประทานก่อนผสมน้ำรวงพอเหนียวปั้นเป็นลูกกลอนขนาดโตเท่าผลพุทราพื้นเมืองรับประทานก่อนอาหารเย็นทุกวัน.
ยาอีกขนานหนึ่ง คือยารักษาโรคเบาหวาน มีผู้หวังดีบอกให้ มีตัวยา ๘ อย่างดังนี้
๑. กำแพงเจ็ดชั้น  หนัก ๒ บาท
๒. แซ่ม้า หนัก ๒ บาท
๓. มะแว้งเครือ หนัก ๒ บาท
๔. โมกขาว หนัก ๒ บาท
๕. เถาหมากแดง หนัก ๒ บาท
๖. ชะเอมไทย หนัก ๒ บาท
๗. รากลำเจียก หนัก ๒ บาท
๘. รากคนธา หนัก ๒ บาท 
เจียดเครื่องยาสมุนไพรมาต้มกินต่างน้ำ หายแล้วให้ทำบุญอุทิศกุศลให้แก่เจ้าของยานี้ด้วย ใครได้ตำรานี้ไปให้บอกเป็นทาน


วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอน สมเด็จดับขันธ์

สมเด็จดับขันธ์*
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ในวัยชราภาพ ท่านยังอุตสาหะไปสร้างพระศรีอารยเมตไตรยที่วัดอินทรวิหาร  ท่านสร้างเป็นพระศรีอารยเมตไตรย์ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในภัทรกัปนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า พระอชิตภิกษุ หรือเจ้าชายอชิตสัตตุราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู กับพระนางกัญจนา ออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้ารุ่นหลัง ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด เพราะปรารถนาพระโพธิญาณมาแต่อดีตชาติ  พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่าพระอชิตสัตตุภิกษุองค์นี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ไม่มีใครเชื่อ พระองค์จึงทรงจับบาตรของพระองค์โยนขึ้นบนอากาศ บาตรนั้นก็หายวับไป ให้ใครๆ ค้นหาก็ไม่เจอ ตรัสสั่งให้พระอชิตภิกขุ พระภิกษุบวชใหม่ค้นหา พระอชิตภิกษุก็ออกมากราบถวายบังคม แล้วอธิษฐานว่า ถ้าแม้นว่าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้จริง ขอให้บาตรของพระผู้มีภาคเจ้าจงลอยลงมาสู่มือข้าพเจ้าบัดนี้เถิด ขาดคำอธิษฐานเท่านั้น บาตรก็ลอยลงมาสู่มืออย่างสำลี  สมเด็จพระพุฒาจารยทราบเรื่องนี้ มีความปรารถนาจะพบพระศรีอาริย์ในอนาคต จึงสร้างพระศรีอารยเมตไตรยไว้เคารพบูชาของมหาชนที่วัดบางขุนพรหม ท่านไปนั่งบัญชาการสร้างอยู่ที่วัดนั้น ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ท่านก็ดับขันธ์ที่วัดบางขุนพรหมนี้ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ อายุ ๘๕ ปี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไม่บรรลุพระอรหันต์แน่นอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ คือขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลอีกแสนไกล สมเด็จจึงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ในชาตินี้ช่วยชาติป้องกันพระพุทธศาสนา สงเคราะห์ประชาชน อนุเคราะห์สัตว์ไปตามกำลังสติปัญญาของท่าน  พระที่บวชบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์มีมากในสมัยก่อน และมีมาจนถึงปัจจุบัน  พระเจ้าตากสิน พระนั่งเกล้าฯ ล้วนแต่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น แม้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ท่านก็บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ด้วย  พระราชธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อเงิน) พระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้าก็บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระราชกวีวงศ์ วัดเสน่หา นครปฐม ท่านก็ประกาศว่าท่านบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านบัณฑูรสิงห์ แห่งสมุทรสาคร ผู้สร้างวัดบัณฑูรสิงห์และวัดเกตุมวดี ท่านก็บำเพ็ญบารมีปรารถนาพระโพธิญาณ ท่านกิตติวุฑโฒ หรือพระเทพกิตติปัญญาคุณ ท่านก็บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์
คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณนั้น เกิดมาสร้างบารมีทุกชาติ ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเทพชั้นดุสิต เมื่อเกิดใหม่ก็จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ทุกชาติไป ... ใครคงไม่เคยคิดนะว่า สมเด็จพระศรีนครินทราฯ ที่ท่านเสียสละความสุขออกช่วยประชาชนตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน สวรรคตเมื่ออายุ ๙๔ ปีนั้น ท่านคือพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ท่านเป็นบุคคลประเภทสมเด็จพระพุฒาจารย์นี่แหละ บุคคลอย่างนี้มีในประเทศไทยตลอดมาตั้งแต่โบราณกาลมาจนทุกวันนี้
(* พระสงฆ์ตาย ต้องพูดว่าดับขันธ์เพราะดับเบญจขันธ์)
(โปรดติตตามตอนต่อไป)