วงศ์อสัญแดหวา
ในประเทศอินเดียสมัยโบราณนั้น
แบ่งชั้นคนออกเป็น ๕ วรรณะ ตามอาชีพการงาน คือพราหมณ์ เป็นชนชั้นครูบาอาจารย์
กษัตริย์ เป็นชนชั้นนักรบ นักปกครองบ้านเมือง แพศย์ ชนชั้นช่างฝีมือ ศูทร
ชนชั้นกรรมกรรับจ้าง จัณฑาล ชนชั้นต่ำสุดในสังคม
พวกพราหมณ์และกษัตริย์ จะแต่งงานกับคนชั้นต่ำไม่ได้
ถือว่าเป็นจัญไรเห็นหน้าจัณฑาลยังถือว่าซวย คนจัณฑาลมานอนตายหน้าบ้าน
ถือว่าซวยไปทั้งหมู่บ้าน กษัตริย์ต้องวิวาห์กันอยู่ในวงศ์กษัตริย์เท่านั้น ธรรมเนียมนี้นับถือติดต่อกันมาถึงเมืองไทย
แต่เจ้าชายยังวิวาห์กับหญิงสาวลูกจ้าวนายขุนนางได้
ส่วนเจ้าหญิงต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชาติแต่งงานไม่ได้กับชนชั้นสามัญ
แต่งได้แต่ในวงศ์กษัตริย์ด้วยกัน
พระพุทธเลิศหล้าฯ
สมรสกับเจ้าหญิงบุญรอด ธิดาพระพี่นางของพระพุทธยอดฟ้า สมรสกับเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี
ธิดาเจ้าหญิงทองสุก ธิดาพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างต่ำก็แต่งกับเจ้าจอมเรียมธิดาพระยานนทบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี นี่คือตัวอย่าง
ตกมาถึงพระจอมเกล้าฯ
ครองราชย์สมบัติ จึงมีเจ้านายขุนนางถวายบุตรธิดาเป็นพระสนมกรมในกัน คือพระญาติวงศ์ถวายพระองค์เจ้าโสมนัส
พระธิดาของพระองค์เจ้าลักขณะนุคุณ เป็นพระชายา แต่มาสิ้นพระชนม์เสียเมื่อประสูติพระโอรสองค์แรก
ต่อมาพระญาติวงศ์ก็ถวายพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ พระธิดาของกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์
เป็นพระอัครชายาองค์ที่สอง ก็มาสิ้นพระชนม์ลงอีกเมื่อวัยสาว
เมื่อพระเทพกวีเข้าไปเทศน์ในวัง
ท่านคงจะเทศน์เตือนสติพระจอมเกล้าฯ จึงเทศน์ใจความว่า
วงศ์กษัตริย์ของพระพุทธเจ้า
เมื่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว ก็อภิเษกกันอยู่ในวงศ์ญาติตามธรรมเนียมพราหมณ์
ถือว่าอสัมภิพงศ์ วงศ์ไม่แตกแยก บริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ ธรรมเนียมนี้ก็เผยแพร่มาถึงเมืองไทยด้วย
เอาพี่เอาน้องมาอภิเษกสมรสกันเป็นธรรมเนียมต่อมา...ธรรมเนียมนี้สืบเนื่องมาจากธรรมเนียมพราหมณ์...
พระจอมเกล้าฯ
ไม่พอพระทัยมาก
“ไปให้พ้นจากพระราชอาณาจักร
ไม่ให้อยู่ในดินแดนของข้า ไปให้พ้น...”
ตอนนั้นสมเด็จฯ
ยังเป็นพระเทพกวี อายุพรรษา ๖๕ ปี แก่กว่าสมเด็จพระจอมเกล้า ๑๖ ปี เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงพิโรธ จึงรีบออกจากพระราชวังกลับวัดระฆัง
เข้าไปพำนักอยู่ในโบสถ์ ไม่ออกจากโบสถ์เลย คนต้องไปตักบาตรในโบสถ์
เวลาจะหนักเบาก็ถ่ายลงกระโถนในโบสถ์ มีคนเอาไปเทลงแม่น้ำ
เมื่อถึงคราวเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินวัดระฆัง
พระจอมเกล้าฯ พบสมเด็จนั่งจ๋องอยู่ในโบสถ์
“อ้าว
ไล่แล้ว ไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักร ทำไมยังอยู่อีกล่ะ”
“ขอถวายพระพร
อาตมาไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรของพระองค์ อาตมาอยู่ในธรรมจักรของพระพุทธเจ้า วิสุงคามสีมา เป็นของพุทธจักร อาตมาไม่เคยเหยียบแผ่นดินของพระองค์...”
“ฉันข้าวที่ไหน
ถ่ายที่ไหน”
“ฉันในโบสถ์
เทวดามาตักบาตร ถ่ายในโบสถ์ลงกระโถน
เทวดามาเอาไปเทในน้ำ...”
“โบสถ์นี้มิใช่อาณาจักรสยามหรือ”
“โบสถ์เป็นวิสุงคามสีมา
พระราชาพระราชทานให้พระภิกษุสงฆ์สิทธิขาดเอาคืนไม่ได้...”
“ขอโทษ
ขอโทษ อยู่ในราชอาณาจักรได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป...”