โอมพิจารณา
มหาพิจารณา
ในสมัยรัชกาลที่ ๔
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็ประพฤติเป็นเทวทูตเตือนใจพระจอมเกล้าฯ มาแล้วหลายครั้งหลายหน
พอตกมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีอิทธิพลครอบคลุมแผ่นดินอยู่
จนเจ้านายขุนนางเกรงกลัวกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่มีใครกล้าทัดทานได้
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
ท่านก็กระทำตัวเป็นอินแปลงมาแสดงตัวเตือนสมเด็จเจ้าพระยาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่เนืองๆ
ท่านคอยปกป้องคุ้มครองราชย์บัลลังก์มาโดยตลอด เช่นการจุดไต้กลางวันแสกๆ
ไปที่ตำหนักของผู้สำเร็จราชการ แล้วกล่าวว่า
“เขาเลื่องลือกันอื้ออึงนักว่า
บ้านเมืองมืดมน จะมีผู้คิดร้ายต่อแผ่นดิน
จึงมาถามท่านเจ้าคุณว่าข้อเท็จจริงประการใด ถ้าจริงก็ขอบิณฑบาตรเขาเสีย...”
สมเด็จเจ้าพระยาท่านก็เป็นคนฉลาดมาก
มีสติปัญญาสูง เรียกว่าปราชญ์ย่อมรู้เชิงปราชญ์ จึงตอบว่า
“ตราบใดที่กระผมยังอยู่
จะไม่ยอมให้บ้านเมืองมืดมนเป็นอันขาด ขอให้เจ้าคุณเบาใจได้...”
“เมื่อเจ้าคุณรับรองดังนี้แล้ว
อาตมาก็เชื่อ จึงขอลากลับไปก่อน”
การกระทำของสมเด็จพระพุฒจารย์โตคราวนี้ได้ผลอย่างไพศาล
๑.ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ปฏิญาณตนกับพระ
ว่าจะไม่คิดร้ายต่อแผ่นดิน ถ้าท่านเสียสัจวาจาก็จะเสียคนไปเลย
๒.เป็นการให้คำรับรองว่า
ท่านมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
๓.เป็นการระงับข่าวลือข่าวร้ายลงเสียได้
บรรดาเจ้านายขุนนางก็สบายใจว่าจะไม่มีการผลัดแผ่นดิน ไม่เกิดฆ่ากันในบ้านเมือง
คราวหนึ่ง
สมเด็จเจ้าพระยา ท่านนิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ไปเทศน์
ขอให้เทศน์เรื่องการประพฤติของผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง ว่าสมควรจะยึดถืออะไรเป็นหลักใหญ่ที่สุด
สมเด็จฯ
ท่านก็เทศน์ว่า
“โอมพิจารณา
มหาพิจารณา” ท่านว่าย้ำซ้ำอยู่อย่างนั้น
สมเด็จเจ้าพระยาฯ
จึงพูดว่า ขอให้อธิบายขยายความต่อไปให้แจ่มแจ้งด้วย
“การของบ้านเมืองก็ดี
การของโลกก็ดี การของพระศาสนาก็ดี การของชาติก็ดี ที่จะกระทำให้เกิดผลดีในปัจจุบัน
เกิดผลดีในอนาคต สำเร็จเรียบร้อยดีงามแก่ผู้คนพลเมือง
ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแก่ปวงชนทั่วหน้า จะต้องพิจารณาเป็นขั้นเป็นตอน
ทั้งิจการน้อยใหญ่ทั้งปวง พิจารณาขั้นต้น พิจารณาขั้นกลาง พิจารณาขั้นสุดท้าย
ก่อนจะทำลงไปว่าจะเกิดผลอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนลึกซึ้ง
รอบคอบ รอบด้าน อย่าคิดดีดลูกคิดรางแก้วเอาแต่ผลได้ฝ่ายเดียว
ต้องคิดถึงผลเสียที่จะเกิดตามมาด้วย เหมือนเดินหมากรุก จะกินม้า ต้องดูตาเรือ
จะกินเรือ ต้องดูตาขุน ที่ท่านว่าต้องดูตาม้าตาเรือจึงจะชนะ ถ้าเดินผิด
จะต้องเสียม้า เสียเรือ เสียขุนไป...”