เดินถือพัดยศไปวัดระฆัง
สมเด็จถือพัดยศ
ลงเรือข้ามฟากไปวัดระฆัง เดินถือพัดยศ
ทำประทักษิณอุโบสถวัดระฆัง ๓ รอบ ประกาศว่า
“นายหลวงตั้งฉันมาเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้นะจ๊ะ”
เดินถือพัดยศประทักษิณพระอุโบสถ
๓ รอบ ปากก็ประกาศดังๆ ไปจนครบ ๓ รอบ
เมื่อท่านเป็นพระธรรมกิตติ
และเป็นเจ้าอาวาสนั้นท่านมีอายุ ๖๔ ปี มีอายุมากแล้ว หลายปีต่อมา ท่านจึงได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์
เรียกกันว่า สมเด็จเจ้าโต
สมเด็จฯ
ดูเหมือนจะเกิดมาคู่บารมีของพระจอมเกล้าฯ ท่านคอยสอดส่อง คอยช่วยเหลือ
คอยปกปักษ์รักษามาตลอดรัชกาล เมื่อพระจอมเกล้าฯ
เสวยราชย์เมื่อพระชนมายุมากแล้ว พระจอมเกล้าฯ
เสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ พระชนมายุ ๔๗ พรรษาแล้ว ไปผนวชอยู่ ๒๗ พรรษา ตั้งแต่มีพระชนมายุ ๒๐ ปี
เมื่อลาสิกขามาครองราชย์สมบัตินั้น
เป็นธรรมเนียมที่เจ้านายและขุนนางมักจะถวายบุตรีและหลานให้เป็นพระสนมกันมาก
เพื่อหวังจะพึ่งบุญ มีบุตรก็ถวายบุตร
มีหลานก็ถวายหลาน สุดแต่จะเอาไว้เป็นพระสนมหรือเป็นเจ้าจอม
มีบุตรก็เป็นเจ้าจอมมารดา มีหลานเป็นพระองค์เจ้าชายเจ้าหญิงมีเกียรติยศ
มีอำนาจวาสนา เพราะพึ่งใบบุญพระเจ้าแผ่นดิน พระจอมเกล้าฯ จึงมีพระสนมมาก มีพระราชบุตรมากมายถึง
๘๒ องค์ด้วยกัน มากกว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่นๆ ทั้งหมด ทั้งที่ทรงผนวชอยู่ ๒๗
ปี มีเทวดามาจุติปฏิสนธิมาก ว่างั้นเถอะ สมเด็จฯ ท่านก็ห่วงว่ามามีภรรยาเมื่ออายุมาก
จะหลงมาตุคามาก หรือเรียกทางพระว่า มืดมนอนธการมากในทางกาม
สมเด็จฯ
ท่านจึงตริตรองหาทางเตือนสติพระราชา ซึ่งไม่มีใครกล้าทำกัน พระมหากษัตริย์แต่โบราณท่านจึงเลี้ยงตลกหลวงไว้
ให้นายตลกหลวงคนนี้พูดได้ทุกอย่างตามใจตัวไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่
เพื่อเตือนสติพระราชา สมเด็จฯ
ท่านรู้ธรรมเนียมโบราณนี้ดี
วันหนึ่งฤกษ์งามยามดี
ท่านจึงลงเรือข้ามฟากจากวัดระฆังมาขึ้นท่าราชวรดิษฐ์
เข้าวังเดินถือไต้จุดไฟลุกแดงโพลงขอเข้าเฝ้า นายประตูเห็นท่าผิดประหลาดนัก
จึงให้กราบทูลว่าสมเด็จฯ จุดไต้เข้ามาขอเฝ้า จะมีพระบรมราชานุญาตหรือไม่ประการใด พระจอมเกล้าฯ ทรงอนุญาต สมเด็จฯ จึงถือไต้แดงโร่เข้าเฝ้า
พอพบพระพักตร์พระจอมเกล้าฯ ก็พูดทันทีว่า
“เขาลือกันว่าในวังหลวงมืดมนนัก
จึงต้องจุดไต้ เข้ามาทูลถามข่าวคราวว่าจริงเท็จประการใด...”
“อ้อ
เขารู้แล้ว ขรัวโต ในวังนี้ไม่มืดมนดอก ขอให้กลับวัดไปนอนคลุมโปงให้สบาย...”
สมเด็จฯ ก็เอาไต้ขยี้กับฝาผนังกำแพง แล้วหันหลังกลับทันที
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น