วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อุตตริมนุสสธรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน เป็นพระเทพกวี


เป็นพระเทพกวี
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๙๗ ทรงตั้งพระธรรมกิตติ (โต) เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ (ข้ามชั้นราช) มีนามสมณศักดิ์ว่า พระเทพกวี  คราวนี้เองแหละที่ท่านต้องแต่งสุภาษิตสอนศิษย์วัด เป็นคำกลอนไว้ฝีมือท่านว่าท่านเป็นพระเทพกวี  สุภาษิตคำกลอนที่สมเด็จฯ แต่ง พิมพ์แพร่หลายมานานแล้ว กระทรวงธรรมการก็เคยพิมพ์เผยแพร่ นักเขียนเรื่องสมเด็จฯ ก็เคยพิมพ์เผยแพร่ เป็นคำกลอนที่ท่านแต่งด้วยอารมณ์ขัน สอนศิษย์ไม่ให้ประพฤติตนเป็นขี้เหล้าเมายา ลักขโมย สูบฝิ่น ซึ่งคนไทยยังประพฤติชั่วในทางนี้อยู่มากในสมัยนั้น  เรื่องสูบฝิ่นนี้แม้แต่ตำรวจก็สูบกัน เจ้านายบางองค์ก็สูบฝิ่นด้วย ปู่ของข้าพเจ้าซึ่งเป็นลูกชายของคนชั้นที่เรียกกันว่าผู้ดีมีสกุล ก็ยังนิยมไปนอนในโรงยาฝิ่น ให้คนทำฝิ่นให้สูบ  ถือว่าเป็นของโก้เก๋ เป็นนักเลงที่มีสมัครพรรคพวกมาก มีคนเกรงใจ ไม่เป็นชายหน้าตัวเมีย  การเป็นนักเลงสมัยก่อน ต้องสูบฝิ่นกินสุรา เล่นการพนัน เพื่อจะมีสมัครพรรคพวกมาก นี่คือความนิยมของคนสมัยนั้น  สมเด็จโต ท่านจึงสำแดงเป็นกวีด้วยการแต่งสุภาษิตคำกลอนขึ้นสอนลูกศิษย์ เหมือนที่พระภิกษุสุนทรภู่ ท่านแต่งโลกนิติคำกลอนขึ้นสอนศิษย์เมื่อท่านบวชอยู่วัดสระเกศ พ.ศ. ๒๓๘๖  ท่านเป็นพระสมัยเดียวกัน สุนทรภู่เอาดีทางเป็นกวี แต่สมเด็จโตท่านเอาดีทางสมถวิปัสสนา  แต่ว่าเมื่อตั้งท่านเป็นพระเทพกวี ท่านก็เลยต้องแต่งกลอนสุภาษิต เพื่อมิให้คนดูหมิ่นท่าน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น