ต้นแบบถวายอดิเรก
(ถวายพระพรเพิ่มเติม)
ในการพระราชพิธีที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเป็นประธาน
หรือพระราชทานให้พระบรมวงศ์เสด็จแทนพระองค์
เมื่อพระภิกษุสงฆ์ยถาสัพพีถวายอนุโมทนาแล้ว ก่อนจะลากลับ พระสงฆ์หัวหน้า
จะต้องจับพัดยศมาตั้ง แล้วกล่าวถวายอดิเรก (ซึ่งแปลว่า
ถวายพระพรเพิ่มเติมก่อนลากลับ) เป็นการว่าเดี่ยว
ที่พระราชาคณะถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบันนี้นั้น
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านเริ่มต้นแบบอย่างไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๔
คือคราวหนึ่งท่านเป็นหัวหน้าไปสวดพระพุทธมนต์ในพระบรมมหาราชวัง
ก่อนจะกลับท่านจับพัดยศขึ้นตั้ง แล้ว สวดเดี่ยวว่า
“อะติเรกวัสสสะตัง
ชีวตุ อะติเรกวัสสสะตัง ชีวตุ อะติเรกวัสสสะตัง ชีวตุ
ทีฆายุโก
โหตุ อะโรโค โหตุ
ทีฆายุโก
โหตุ อะโรโค โหตุ
สุขิโต
โหตุ มหาราชา
สิทธิกิจจัง
สิทธิกัมมัง สิทธิลาโภ ชโย นิจจัง
มหาราชัสสะ
ภวตะสัพพทา ขอถวายพระพร...”
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟังภาษาบาลีออกว่าแปลว่าอะไร
จึงโปรดปรานมาก ตรัสว่า
“แก้ลัด
ตัด เติม จะได้บ้างไหม...”
สมเด็จทูลทันทีว่า
“ขอถวายพระพร
อาตมาภาพได้เปยยาลไว้ สำหรับมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า
ได้ทรงตรองลงตามพระราชอัธยาศัยแล้ว
พระจอมเกล้าฯ
จึงทรงแทรกลงอีกว่า
“ปรเมนทรมหาราชวรัสสะ”
แทนคำว่ามหาราชัสสะ
แล้วทรงมีพระราชบัญญัติ
บัญชาการให้หัววัดที่มีพระราชาคณะ ถวายอดิเรก ตามแบบของพระธรรมกิตติ (โต
พรหมรังสี) นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สมเด็จฯ จึงเป็นต้นแบบถวายอดิเรกมาจนบัดนี้
เล่ากันว่า
คราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ไปในงานพระราชพิธีโสกัณฑ์ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
ท่านไปไม่ทันเวลาฤกษ์ พระจอมเกล้าพิโรธมาก ตรัสว่าไม่ได้ราชการ ให้ถอดจากสมณศักดิ์
ให้เรียกพัดยศคืน คราวนั้นเมื่อจะถวายพระพรลา สมเด็จท่านนิ่งเฉยเสีย ไม่ถวายอดิเรก
พระจอมเกล้าฯ ตรัสถามว่าทำไมไม่ถวายอดิเรก
สมเด็จทูลว่า “เป็นพระลูกวัดแล้ว ไม่ใช่พระราชาคณะ ถวายอดิเรกไม่ได้” พระจอมเกล้าฯ
ตรัสว่า จะตั้งให้ใหม่ ท่านก็ยังไม่ถวายอดิเรก พอเลิกงานพระราชพิธีแล้ว
ท่านก็กลับวัดโดยไม่หยิบพัดยศไปด้วย พระจอมเกล้าฯ
ตรัสสั่งให้สังฆการีเอาไปถวายกลางทาง ที่เดินกลับวัด สมเด็จหันมาถามว่า
“พ่อเป็นอะไรจ๊ะ จะมาตั้งพระราชาคณะกลางห้วยกลางทาง”
สังฆการีตอบว่า
มีรับสั่งให้ เอามาถวาย สมเด็จจึงหันหลังกลับไปในวัง
พระจอมเกล้าฯ
ต้องมีพระบรมราชโองการให้เขียนใบแต่งตั้งใหม่ในวันนั้น
ในสมัยนั้น
คำตรัสของพระเจ้าแผ่นดิน จะตั้ง จะถอดยศใครมีเท่าไร ย่อมเป็นผลบังคับทันที
แม้จะตั้งใครในกองทัพ ให้มียศถาบรรดาศักดิ์อย่างใดย่อมเป็นทันทีนั้น ตัวอย่างคือเมื่อนายแสง มหาดเล็กไปทำสงครามในเมืองทวาย
มีความกล้าหาญ มีความชอบ พระพุทธยอดฟ้า จึงตั้งให้นายแสง มหาดเล็ก เป็น
หมื่นสะท้านมณเฑียรในสนามรบนั้น ก็เป็นหมื่นสะท้านมณเฑียรในกองทัพนั้นเอง สมเด็จท่านเข้าใจดีว่าสั่งถอดถอนท่านด้วยวาจา
ท่านก็เป็นลูกวัดแล้วทันที ท่านจึงออกจากวังโดยไม่เอาพัดยศมาด้วย
ท่านมิได้ทำงานอะไร พอพระราชาตั้งท่านใหม่ ท่านก็เป็นใหม่ ถวายอดิเรกได้ใหม่
ไม่ตั้งท่าน ท่านก็ไม่ยอมถวายอดิเรก นี่คือท่านถือธรรมเนียมราชการ
ท่านถือว่าท่านรับราชการทางฝ่ายธรรมจักร ท่านเป็นข้าราชการของพระเจ้าแผ่นดิน
ที่ท่านรับพัดยศ รับตราตั้ง รับนิตยภัตนั้น คือท่านยอมเป็นข้าราชการในฝ่ายธรรมจักร
ท่านต้องยอมตาม เพราะอยู่ในพระราชอาณาจักรของพระราชา