วิญญาณอยู่ที่ไหน
เจ้าภาพผู้เป็นบัณฑิต
สอบถามสมเด็จต่อไปอีกว่า วิญญาณ มีหรือไม่ ถ้ามีวิญญาณอยู่ที่ไหน สมเด็จตอบว่า
“วิญญาณมีอยู่ในอากาศ
ล่องลอยไปมาเหมือนฝุ่น ปลิวไปในอากาศ
เหมือนเม็ดแมงลักแช่น้ำมันพร้อมที่จะผุดเกิดได้ทุกเวลานาที
วิญญาณตัวเดียวนี้แหละเข้าท้องคนก็เกิดเป็นคน เข้าท้องหมาก็เกิดเป็นหมา
เข้าท้องควายก็เกิดเป็นควาย เข้าท้องช้างก็เกิดเป็นช้าง เข้าท้องม้าก็เกิดเป็นม้า
เข้าท้องลิงก็เกิดเป็นลิง พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ มาทุกชนิด
พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสุนัขมาแล้ว เคยเกิดเป็นลิงเคยเกิดเป็นช้างมาแล้ว
จึงทรงเบื่อหน่ายการเกิดมาตายเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร
จึงพากเพียรพยายามบำเพ็ญพระบารมี เพื่อเข้านิพพานบรมสุข ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป”
“แล้วทรงมีพระมหากรุณาแก่สัตว์อื่น
ที่เกิดมาเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด
จึงทรงพากเพียรพยายามเทศนาสั่งสอนให้คนบำเพ็ญเพียรพ้นทุกข์ไม่ต้องมาเกิดอีก
คือบรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานบรมสุข
จึงมีผู้ปฏิบัติตามจนได้เป็นพระอรหันต์นับพันนับหมื่นองค์ในสมัยนั้นมาจนทุกวันนี้
การเป็นพระอรหันต์การบรรลุพระนิพพาน จึงเป็นจุดหมายปลายทาง เรียกว่า มรรคผลนิพพานหรือโลกุตตรธรรม
แปลว่า พ้นโลก เหนือโลก ลอยอยู่ในนภากาศประดุจดังดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายในนภากาศ
แสนล้านปีก็ลอยคว้างอยู่ได้ในโกฏิจักรวาล นี้มีดวงดาวนับล้านดวง
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล ที่เกิดเองเป็นเอง
ไม่มีพระเจ้าองค์ใดสามารถสร้างหรือจัดระบบได้เลย...”
คำปุจฉา แปลว่า
ถามปัญหา และคำวิสัชนา แปลว่า คำวินิจฉัยของสมเด็จกับเจ้านายนี้ ลึกซึ้งเกินไป
เหลือกำลังปัญญาของไพร่บ้านธรรมดาจะจดจำมาเล่าขานกัน
เป็นธรรมที่รู้กันในหมู่บัณฑิต จึงไม่เล่ากันในหมู่ชาวบ้านทั่วไป
ถึงจะมีใครนำมาเล่า
ก็ไม่เป็นที่สนใจที่จะเงี่ยโสตสดับ หรือจดจำไว้
มันเกินปัญญาบารมีของปุถุชนคนทั่วไป
ด้วยเป็นเรื่องห่างไกลจากชีวิตประจำวันของชาวบ้านธรรมดา
ชนชาติไทยเรา
มาอยู่ในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
จึงมีนิสัยรักแต่ความสะดวกสบาย ไม่ชอบคิดเรื่องลึกซึ้ง
ไม่ชอบฟังเรื่องนามธรรมที่มองเห็นยาก คนไทยเราจึงหาคนที่เป็นนักคิด นักค้นคว้า
นักการศาสนา นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยพบ รู้อะไรก็รู้ตามคำเขาว่า
เป็นนักคัดลอก นักลักจำเสียมาก ไม่เหมือนชาวอินเดียว ชาวจีน
แม้แต่เรื่องจิตวิญญาณที่สอนอยู่ในพุทธศาสนาก็ไม่ค่อยมีคนสนใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น