วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อุตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พระสวดโอ้เอ้วิหารราย


พระสวดโอ้เอ้วิหารราย
การสวดพระอภิธรรมในงานศพสมัยก่อน มีการสดวทำนองตามคำกาพย์ที่ท่านแต่งไว้ เรื่องที่สวดนั้นโดยมากสวดเรื่องพระมาลัย มีทำนองแปลกๆ มีการสวดลงลูกคอว่า “ชะเอิงเงิงเงยช้า” กระทุ้งตอนท้ายด้วย เวลานี้ยังมีการสวดตามวัดโบราณบ้านนอก เช่นที่วัดตาก้อง นครปฐม วัดสารอด ที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ก็ยังมีสวดอยู่ พระจอมเกล้าฯ ท่านไม่โปรด ว่าเป็นการสวดตลกคะนอง ขาดสมณสารูป ในคณะธรรมยุตที่ท่านตั้งขึ้นใหม่จึงไม่มีการสวดอย่างนี้เลย ท่านไม่เคยสดับตรับฟังมานานกว่า ๔๐ ปี
คราวนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๐๘ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ สวรรคต ที่วังหน้าจึงมีงานสวดพระอภิธรรมในวังหน้าตามธรรมเนียมเก่าของฝ่ายมหานิกาย เป็นการสวดเพื่อเป็นเพื่อนศพและเจ้าภาพมิให้โศกเศร้า จึงมีการสวดสังคหะ คือสวดเป็นทำนอง พระ ๘ องค์สวดกันสนุกสนาน เสียงดัง ตามแบบโบราณแท้
คืนนั้นพระจอมเกล้าเสด็จไปในงานพระบรมศพของพระปิ่นเกล้าฯ พอรู้ว่าพระจอมเกล้าฯ เสด็จไปในวังหน้า พอเห็นพระจอมเกล้าฯ พระที่สวดพระอภิธรรม ทำนองเสนาะอยู่ ก็พากันตกใจ เพราะทราบว่าพระจอมเกล้าฯ ไม่โปรด จึงหยุดสวด แล้วพากันหลับหน้าเข้าไปซ่อนในม่าน พระจอมเกลาฯ ทราบว่าพระหยุดสวด เพราะท่านเสด็จไปอย่างนั้น จึงทรงพิโรธใหญ่ มีพระอักษรถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์โตทันทีว่า พระเห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จเข้าไปในงานพระบรมศพ กลับหลบหนีหมด เป็นการดูหมิ่นพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้สึกพระเหล่านี้เสีย แล้วให้ราชบุรุษนำหนังสือพระราชหัตถเลขไปให้สมเด็จฯ เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์เหล่านั้น สมเด็จท่านอ่านแล้ว จุดธูปขึ้น เอาก้านธูปจี้ลงในกระดาษนั้น ๓ จุด ส่งคืนให้ราชบุรุษไปถวายพระจอมเกล้าฯ
พระจอมเกล้าฯ ทรงทอดพระเนตรแล้ว ตรัสว่า
“อ้อ ท่านสอนให้เราดับไฟกิเลส ๓ กอง คือ โทสัคคี ราคัคคี โมหัคคี ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟราคะ...”
เป็นอันว่าพระ ๘ องค์นั้น ไม่ถูกจับสึก และพระทั้งหลายก็ไม่สวดสังคหะแบบโอ้เอ้วิหารรายต่อไป ความนิยมในการสวดทำนองเสนาะแบบโบราณที่นิยมสวดมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาก็ซบเซาลง
อันที่จริงการสวดทำนองเสนาะ หรือสวดกลอนสวดนี้มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะบาทหลวงมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ด้วยการสวดทำนองเสนาะในโบสถ์ มีดนตรีประกอบด้วย คือมีคนดีดเปียโนคลอ เป็นกลวิธีกล่อมใจคนให้เคลิบเคลิ้มในอารมณ์ศรัทธาพระเจ้า พระจีนก็มีสวดกงเต๊ก มีดนตรีประกอบด้วย พระไทยสวดพระมาลัยในงานศพ หรือสวดกลอนแบบนี้ยังเบากว่ามากนัก น่าเสียดายที่เรามาละเลิกประเพณีสวดทำนองเสนาะนี้เสีย กลอนสวดที่ท่านแต่งเป็นกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ขับไม้ จึงเสื่อมสูญไป จนเกือบไม่มีใครรู้จักกลอนสวดเหล่านี้เสียแล้ว เนื่องจากไม่ต้องพระราชนิยม อันที่จริงกวีโบราณท่านแต่งเรื่องชาดกต่างๆ ไว้เป็นกลอนสวดมากมาย เช่นเรื่องกาพย์สังข์ศิลปะชัย หรือสังข์ศิลปะชัยกลอนสวด กาพย์โนราห์ หรือมโนราห์กลอนสวด เป็นต้น กวีท่านแต่งไว้ให้สวดทำนองเสนาะ จึงเรียกว่ากลอนสวด แม้ในวังก็มีการหัดเด็กลูกจ้าวนายให้สวดกันที่ระเบียงโบสถ์วัดพระแก้ว จึงเรียกกันว่าสวดโอ้เอ้วิหารราย แบบสอนอ่านประถม เช่นจินดามณีของพระมหาราชครู หรือประถม ก.กาของสุนทรภู่ ที่แต่งขึ้นถวายพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๒ ก็คือกลอนสวดนี่เอง
น่าเสียดายที่ประเพณีการสวดกลอนสวด ทำนองเสนาะของเราเกือบจะสูญไปแล้ว อย่างการสวดพระมาลัยในงานศพนั้น เกือบสูญไปแล้ว ยังมีแต่บางวัดเท่านั้นที่ยังรักษาประเพณีเอาไว้ได้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น