วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อตตริมนุสสธรรม ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ตอน พระจับเงินไม่ได้ หรือ รับเงินทองมิได้

พระจับเงินไม่ได้ หรือรับเงินทองมิได้
มีบัญญัติไว้ใน ศีล ๑๐ ของสามเณร ซึ่งพระที่อุปสมบทต้องรับศีล ๑๐ ข้อนี้ก่อน เรียกว่ามัชฌิมศีล คือ ศีลระดับกลาง มีบัญญัติไว้ว่า ชาตะรูปะระชะตะ ปะฏิคคะหะณา เวระมะณี สิกขาปะทัง แปลว่า ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทว่า เมื่อรู้ว่าเป็นเงินที่เขาถวายจะไม่รับเอามาเป็นของตนเป็นสิกขาบทข้อที่ ๑๐ เพราะสมณะนั้น ไม่ต้องเก็บเงินไว้เลี้ยงชีพ อาชีพของสมณะคือบิณฑบาตมาฉันเพียงชั่วมื้อเท่านั้น เงินจึงไม่จำเป็นต้องใช้
แต่สิกขาบทข้อนี้ มีแต่พระฝ่ายอรัญญวาสีเท่านั้นที่ถือได้เคร่งครัดจริงๆ เพราะตามป่าเขานั้นมีเงินก็หาซื้อสิ่งของอะไรไม่ได้ และพระภิกษุในสมัยพุทธกาลนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเงินไว้เป็นสมบัติ แต่พระฝ่ายคามวาสี มักจะถือลำบาก คือถือเคร่งครัดไม่ได้ เพียงแต่ว่าพยายามหลีกเลี่ยงการรับเงินและพยายามหลีกเลี่ยงไม่เก็บเงินไว้เป็นส่วนตัว ต้องฝากไว้กับไวยาวัจกร ต้องการใช้อะไรก็ให้ไวยาวัจกรไปจัดซื้อให้ รู้แต่จำนวนเงินและเงินที่เหลืออยู่ตามบัญชีเท่านั้น แต่ไวยาวัจกรนั้นก็ไว้ใจไม่ได้ มักจะโกงพระเสียมาก ที่ว่ากันว่าทอดกฐินทอดผ้าป่ากรรมการครึ่งวัดครึ่ง พระมักจะรับมาใช้จ่ายตามความจำเป็นและเก็บเงินไว้ใช้เอง ไม่มีใครว่าอะไรกัน ชาวบ้านทายกทายิกาก็มักถวายเงินพระเสมอ  เมื่อพระจอมเกล้าฯ ทรงตั้งคณะธรรมยุติกนิกายขึ้น จึงมีธรรมเนียมปฏิบัติว่า ให้ถวายเงินใส่ซอง การรับเงินก็รับถวายในซอง โดยให้ไวยาวัจกรรับเอาเงินมา พระไม่รับถวายเงิน หรือเม็ดเงินจากทายกทายิกา พอถึงวัดท่านก็ถามหาเงินว่าอยู่ที่ไหน มีเท่าไร
คราวหนึ่งสมเด็จฯ ท่านเข้าไปสวดมนต์ในวัง พระจอมเกล้าฯ ก็ถวายเงินองค์ละ ๒๐ บาท เป็นเงินเหรียญบาท ๒๐ บาท สมเด็จฯ ท่านก็ทำดีใจว่าวันนี้ลาภใหญ่แล้ว รีบรวบเงิน ๒๐ ใส่ย่ามทันที
พระจอมเกล้าฯ ตรัสว่า
“อ้าว พระรับเงินได้หรือ”
สมเด็จฯ ทูลว่า
“มหาบพิตร มีพระราชศรัทธา อาตมาจะขัดพระราชศรัทธาได้อย่างไร...”
เมื่อออกจากวังแล้ว ท่านก็พูดว่า วันนี้รวยใหญ่ วันนี้รวยใหญ่ พวกมหาดเล็กก็มารุม ท่านก็ควักเงินในย่ามแจกไปจนหมดเกลี้ยง
พระอย่างนี้มไม่ประพฤติผิดศีลสิกขาบทเลย  แต่พระที่รับเองซองเงินมาแล้วทวงเงินมาเก็บไว้นั้น  ย่อมผิดศีลข้อ โกสิยาวรรคที่ ๒ ข้อ ๘ ทีบัญญัติไว้ว่า

"ภิกษุรับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซื่งเงินทอง หรือยินดีในเงินทอง ที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์  (แปลว่า ไฟเผาลนจิตให้ร้อนรน)  มีโทษคือพระทำสมถวิปัสสนาไม่บรรลุเอกัคคตารมณ์  คือไม่บรรลุโสดาบัน)  ไม่ได้โสดาปัตติผล  เพราะเป็นห่วงทรัพย์็นั้น เพราะฉน้ันพระภิกษุที่ไม่มุ่งโสดาบันเป็นพระอริยบุคคล จึงไม่ถือเคร่งครัดในศีลปาจิตตีย์" 
   นิสสัคคิยปาจิตตีย์ แปลความหมายว่า  เมื่อผิดศีลในข้อนี้แล้ว  เหมือนไฟเผาไหม้จิตใจอยู่เป็นนิตย์จนต้องส่งใจไปที่อื่น  จิตใจไม่สงบรวมลงเป็นหนึ่ง จึงไม่อาจจะบรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคลได้ 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น