พระประพรมน้ำมนต์ให้ทหารไปทำสงคราม
ในสมัยรัชกาลที่ ๓
มีการส่งกองทัพไปรบกับญวนในประเทศเขมร
ทางราชการนิมนต์พระสงฆ์ไปประพรมน้ำมนต์แก่ทหารที่ไปทำสงคราม พอถึงรัชกาลที่ ๕
ก็ส่งกองทัพไปปราบฮ่อ จึงมีคนเจ้าปัญหาไปปุจฉาสมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า ผิดศีลหรือไม่
เพราะเท่ากับไปแสดงความประสงค์ที่จะให้ทหารไปฆ่าคนในสงคราม
สมเด็จฯ
ท่านย้อนถามว่า ถ้าข้าศึกมารุกราน ทำลายชาติ ชาติจะตั้งอยู่ได้หรือไม่
ถ้าข้าศึกมาทำลายล้างศาสนา พระสงฆ์จะอยู่ได้หรือไม่ ทหารที่ไปทำสงคราม
เพื่อป้องกันชาติ ป้องกันพระพุทธศาสนา พระสงฆ์จึงต้องเอาใจช่วยให้ทหารไปรบเพื่อป้องกันชาติ
ปกป้องพระพุทธศาสนา ให้มีชาติ ให้มีพระศาสนาอยู่สืบไป
พระไม่ได้ไปในกองทัพเพื่อช่วยทหารรบ ไม่ได้ถืออาวุธเข้ารบ จึงไม่ผิดศีลข้อไหนเลย
พระพุทธเจ้าตรัสไม่ให้พระไปในกองทัพเกิน ๓ วันเท่านั้น
การประพรมน้ำมนต์น้ำพรให้ทหาร เป็นการอวยพรให้ไปโดยสวัสดี ปลอดภัยในสงครามเท่านั้น
ในการสงคราม พระราชาอาจเกณฑ์พระสงฆ์ที่ยังหนุ่มแน่นให้สึกออกมาเป็นทหารไปรบได้ด้วย
ทหารที่ไปรับถ้าถอยทัพจะถูกแม่ทัพฆ่าทันที
แม่ทัพที่ไม่กล้าสั่งฆ่าคนนั้นเป็นแม่ทัพไม่ได้ เพราะกองทัพจะอ่อนแอ
พ่ายแพ้แก่ข้าศึก พระมหาราชาธิราชที่สามารถรักษาพระราชอาณาจักรไว้ได้
จึงต้องเข้มแข็ง สั่งฆ่าคนได้ เพราะการสงคราม ไม่มีคำว่าบาป หรือบุญ
เป็นการทำหน้าที่รักษาชาติ รักษาพระศาสนา ไม่มีเจตนาฆ่าคน
แต่ทำลายข้าศึกให้พ่ายแพ้ เพื่อความอยู่รอดของชาติ ศาสนา
การฆ่าคนที่ถือว่ามีบาปนั้นคือต้องมีเจตนาฆ่าเขาให้ตาย
การสวดชยันโต
คือการอวยชัยให้มีชัยชนะแก่ข้าศึก ไม่ใช่การยุยงให้ทหารไปฆ่าคนให้ตาย
เมื่อกรุงเก่าแตกสลายนั้น
ทหารพม่าเผาวัง เผาวัด เผาพระพุทธรูปทองลอกเอาทองไป ขนเอาพระพุทธรูป
เทวรูปไปเมืองพม่ามากมาย อยากเป็นอย่างนั้นอีกหนไหมเล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น