วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อุตตรืมนุสสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตอนพระประพรมน้ำมนต์ให้ทหารไปทำสงคราม

พระประพรมน้ำมนต์ให้ทหารไปทำสงคราม
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการส่งกองทัพไปรบกับญวนในประเทศเขมร ทางราชการนิมนต์พระสงฆ์ไปประพรมน้ำมนต์แก่ทหารที่ไปทำสงคราม พอถึงรัชกาลที่ ๕ ก็ส่งกองทัพไปปราบฮ่อ จึงมีคนเจ้าปัญหาไปปุจฉาสมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า ผิดศีลหรือไม่ เพราะเท่ากับไปแสดงความประสงค์ที่จะให้ทหารไปฆ่าคนในสงคราม
สมเด็จฯ ท่านย้อนถามว่า ถ้าข้าศึกมารุกราน ทำลายชาติ ชาติจะตั้งอยู่ได้หรือไม่ ถ้าข้าศึกมาทำลายล้างศาสนา พระสงฆ์จะอยู่ได้หรือไม่ ทหารที่ไปทำสงคราม เพื่อป้องกันชาติ ป้องกันพระพุทธศาสนา พระสงฆ์จึงต้องเอาใจช่วยให้ทหารไปรบเพื่อป้องกันชาติ ปกป้องพระพุทธศาสนา ให้มีชาติ ให้มีพระศาสนาอยู่สืบไป พระไม่ได้ไปในกองทัพเพื่อช่วยทหารรบ ไม่ได้ถืออาวุธเข้ารบ จึงไม่ผิดศีลข้อไหนเลย พระพุทธเจ้าตรัสไม่ให้พระไปในกองทัพเกิน ๓ วันเท่านั้น การประพรมน้ำมนต์น้ำพรให้ทหาร เป็นการอวยพรให้ไปโดยสวัสดี ปลอดภัยในสงครามเท่านั้น ในการสงคราม พระราชาอาจเกณฑ์พระสงฆ์ที่ยังหนุ่มแน่นให้สึกออกมาเป็นทหารไปรบได้ด้วย
ทหารที่ไปรับถ้าถอยทัพจะถูกแม่ทัพฆ่าทันที แม่ทัพที่ไม่กล้าสั่งฆ่าคนนั้นเป็นแม่ทัพไม่ได้ เพราะกองทัพจะอ่อนแอ พ่ายแพ้แก่ข้าศึก พระมหาราชาธิราชที่สามารถรักษาพระราชอาณาจักรไว้ได้ จึงต้องเข้มแข็ง สั่งฆ่าคนได้ เพราะการสงคราม ไม่มีคำว่าบาป หรือบุญ เป็นการทำหน้าที่รักษาชาติ รักษาพระศาสนา ไม่มีเจตนาฆ่าคน แต่ทำลายข้าศึกให้พ่ายแพ้ เพื่อความอยู่รอดของชาติ ศาสนา การฆ่าคนที่ถือว่ามีบาปนั้นคือต้องมีเจตนาฆ่าเขาให้ตาย
การสวดชยันโต คือการอวยชัยให้มีชัยชนะแก่ข้าศึก ไม่ใช่การยุยงให้ทหารไปฆ่าคนให้ตาย
เมื่อกรุงเก่าแตกสลายนั้น ทหารพม่าเผาวัง เผาวัด เผาพระพุทธรูปทองลอกเอาทองไป ขนเอาพระพุทธรูป เทวรูปไปเมืองพม่ามากมาย อยากเป็นอย่างนั้นอีกหนไหมเล่า

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น